3.12.12

ริดสีดวงทวารหนัก

ริดสีดวงทวารหนัก


ไม่กินผักผลไม้ ดื่มน้ำน้อย เครียดในชีวิตประจำวัน มีโอกาสเสี่ยงที่จะท้องผูก และถ่ายผิดปกติ หรือมีเลือดปนออกมา จนถึงขั้นเสี่ยงต่อริดสีดวง

ปัจจุบัน คนไทยเริ่มมีพฤติกรรมในการบริโภคอาหารที่เปลี่ยนไปเพิ่มมากขึ้น โดยหลาย ๆ คนไม่รับประทานผัก ผลไม้ หรือบางคนดื่มน้ำน้อยมากในแต่ละวัน ประกอบกับการเกิดความเครียดจากการทำงาน ภาวะเศรษฐกิจ ปัญหาครอบครัว และสังคม ส่งผลให้คนไทยมีโอกาสเสี่ยง ที่จะเกิดอาการท้องผูก และถ่ายผิดปกติ หรือมีเลือดปนออกมา จนถึงขั้นเป็นโรคโลหิตจางจนต้องให้เลือดทดแทน

ทั้งนี้ "อาการถ่ายเป็นเลือด" เป็นอาการหนึ่งจากสภาวะท้องผูก หรือการถ่ายอุจจาระ ที่มีลักษณะเป็นก้อนแข็ง ซึ่งมาจากพฤติกรรมในผู้ที่ไม่ค่อยรับประทานผัก และผลไม้ หรือดื่มน้ำน้อย ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน รวมถึงภาวะความเครียดในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ ตามผู้ป่วยควรจะพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ และตำแหน่งที่เลือดออกว่ามาจากส่วนใด ซึ่งอาจจะเป็นเนื้องอก มะเร็ง หรือริดสีดวงทวารหนัก คือ ถ้ามีเลือดออกจากลำไส้ใหญ่ส่วนล่าง หรือบริเวณทวารหนัก ผู้ที่มีอาการจะเห็นเป็นเลือดสีแดงสดไหล หรือหยด หรือผสมกับอุจจาระที่ออกมา อาการเหล่านี้ หากทิ้งไว้ในระยะยาว โดยไม่ทำการรักษา อาจนำไปสู่การเป็นโรคริดสีดวงทวารหนักในระยะที่ 3 และ 4 ได้

โรคริดสีดวงทวารหนักภายในระยะที่ 1 และ 2 ไม่ถือว่าเป็นอันตรายแก่ชีวิต แต่จะเป็นความลำบาก สำหรับผู้ป่วยเอง ในการใช้ชีวิตประจำวัน เพราะการที่ผู้ป่วยปล่อยให้โรคริดสีดวงทวารหนักเรื้อรัง จนลุกลามไปถึงระยะ ที่ 3 และ 4 เป็น เพราะผู้ป่วยโรคริดสีดวงทวารหนักบางราย ส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะไปพบ และปรึกษาแพทย์ มักจะเก็บความทุกข์ทรมานจากโรคนี้ไว้ตามลำพัง เนื่องจากเกิดความอาย และกลัวกับวิธีการผ่าตัด

แต่ปัจจุบัน วิทยาการทางการแพทย์ เกี่ยวกับการรักษาโรคริดสีดวงทวารหนัก มีความก้าวหน้ามากขึ้น โดยผู้ป่วยโรคริดสีดวงทวารหนักในระยะที่ 3 และ 4 สามารถเลือกที่จะเข้ารับการผ่าตัดรักษาโรค ด้วยเครื่องมือตัดเย็บอัตโนมัติ (Stapled hemorrhoidectomy) หรือที่เรียกว่า PPH (Procedure for prolapsed and hemorrhoid) ในกรณีที่ ผู้ป่วยมีก้อนเนื้อยื่นออกมาในปริมาณมาก

การ รักษาด้วยเครื่องมือดังกล่าว จะช่วยให้ผู้ป่วยเจ็บน้อยลง และใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นน้อย ไม่มีผลข้างเคียงหลังการผ่าตัด รวมถึงผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้ไวกว่าการผ่าตัดแบบเดิม

การ ใช้เครื่องมือตัดเย็บอัตโนมัติ หรือ PPH กับผู้ป่วยโรคริดสีดวงทวารหนักในระยะที่ 3 และ 4 เป็น วิธีแก้ไขกลไกที่ทำให้เกิดโรคริดสีดวงทวารหนักโดยตรง ซึ่งอุปกรณ์ที่สำคัญในการผ่าตัดรักษาประกอบด้วย 3 ส่วน คือ เครื่องมือสอดและถ่างทวารหนัก เครื่องมือช่วยเย็บ และเครื่องมือตัดเย็บหัวริดสีดวง โดยการตัด และเย็บนี้ จะกระทำตามแนวเส้นรอบวงโดยตลอด จึงสามารถตัดหัวริดสีดวงออกได้ทุกหัว และไม่ทำให้รูทวารหนักแคบลง

อีกทั้งแนวการเย็บ อยู่สูงกว่า เส้นเด็นเต็ท (dentate line) ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่มีเส้นประสาทรับความรู้สึกเจ็บปวดมาเลี้ยง จึงทำให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดน้อยลง

โดยทฤษฏีแล้ว โรคริดสีดวงทวารหนักเกิดจากการเลื่อนตัวของเบาะรอง (cushion) ที่อยู่ภายในทวารหนักออกมาภายนอก วิธีการผ่าตัดนี้จะดันเบาะรองกลับไปสู่ตำแหน่งเดิม และตัดเฉพาะส่วนเกินที่ยื่นออกมาเท่านั้น ไม่ตัดเบาะรองออกทั้งหมด ในความเป็นจริงแล้ว เบาะรองมีประโยชน์ ในการทำให้ทวารหนักของคนเราปิดสนิท ไม่มีน้ำอุจจาระเล็ดออกมาได้ในระหว่างที่ไม่ได้ถ่ายอุจจาระ

เพื่อ ป้องกันการเป็นโรคริดสีดวงทวารหนัก หากผู้ป่วยพบว่า มีอาการถ่ายเป็นเลือด ถ่ายลำบาก อย่าปล่อยทิ้งไว้ให้เรื้อรัง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเรื่องการรับประทานอาหาร เน้นผัก และผลไม้ให้มากขึ้น ดื่มน้ำมาก ๆ หลีกเลี่ยงอุปนิสัยเบ่งอุจจาระเวลาขับถ่าย ไม่ใช้ยาสวนอุจจาระพร่ำเพรื่อ

หากหลีกเลี่ยง พฤติกรรม ที่เป็นความเสี่ยงเหล่านี้ ผู้ป่วยจะมีโอกาสห่างไกลจากโรคริดสีดวงทวารหนัก และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข โดยที่ไม่ต้องพบแพทย์

ที่มา
นพ.ทรงศักดิ์ กรสุทธิโสภณ
ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญศัลยกรรมทั่วไป โรงพยาบาลเจ้าพระยา

สูตรแก้เมาค้าง

สูตรแก้เมาค้าง


กระแสทีวีรายการหนึ่งทำให้ผู้คนหันมาตื่นตัวกันเรื่อง เมา ๆ มากขึ้น แต่ไม่ได้ตื่นตัวในเรื่องเลิก แต่เป็นเมาอย่างไรไม่ให้จับได้มากกว่า เมื่อดูอาหารชนิดที่ว่ากันว่า กินแล้วทำให้ตำรวจตรวจแอลกอฮอล์ไม่พบนั้น ดูไปก็เหมือนกับการเอาพลาสติกใส ไปเคลือบปากลิ้นไว้ ไม่ให้แอลกอฮอล์ที่มันตกค้างอยู่ในกาย ระเหยออกมาข้างนอกมากกว่า โดยรวมความก็คือ ยังเมาแประอยู่นั่นเอง ก็ไม่รู้ว่าเป็นนวัตกรรมที่น่ากลัวขึ้นหรือเปล่า

แต่ถ้าไม่อยากเมา แต่จำเป็นต้องไปงานสังคม หรือเผลอใจไปเมาโดยไม่ตั้งใจแล้ว ต้องมานั่งทนทุกข์ทรมาน กับ "อาการแฮงค์โอเวอร์" หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า “เมาค้าง” ก็มีวิธีที่จะช่วยดับได้ไม่ยากนัก แถมเป็นมรรควิธีที่เสริมสุขภาพดีแบบยั่งยืนด้วย เพราะบางทีแค่การจิบเครื่องดื่มแก้เมาค้าง อาจไม่ได้ช่วยไล่อาการได้เสมอไปครับ

ใช้ชีวิตอย่างไรไม่ให้เมาค้าง

สิ่ง ที่เป็นอมตธรรม สำหรับเรื่องเมา ก็คือ ถ้าไม่อยากเมาค้างก็จงอย่าดื่มเหล้า ฟังดูง่ายแต่ไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป เพราะในชีวิตที่ต้องว่ายวนอยู่ในสังคม เราก็คงต้องไปงานชุมนุมศิษย์เก่า งานแต่ง งานเลี้ยงรับปริญญา และงานสมาคมอะไรต่อมิอะไรมากมายสุด แล้วแต่จะจินตนาการขึ้นมาได้

การ เลี่ยงดื่มในงานเหล่านี้ ถ้าใครทำได้ ก็ดุจจะมีคุณอันวิเศษในตัวทีเดียว ดังนั้นจึงอยากให้เคล็ดสำหรับเตรียมตัวไว้ สำหรับท่านที่ไม่อยากดื่ม แต่คิดว่าอาจเลี่ยงไม่ได้ ดังนี้คือ
  1. นอนพักให้พอ และอย่าออกกำลังหนักก่อนเข้างาน จะทำให้ไม่กระหายแอลกอฮอล์มากนัก
  2. กินโปรตีนสักนิดรองท้องไว้ เช่น แซนวิชทูน่า หรือแม้แต่ปลาเส้นสักกำมือหนึ่ง จะช่วยไม่ให้แอลกอฮอล์ดูดซึมเร็วนัก
  3. ระหว่างดื่มให้กินกับไปด้วย จะทำให้ไม่เปลืองเหล้า แต่อาจเปลืองกับแทน
  4. ดื่มน้ำให้เยอะ ๆ แล้วปัสสาวะบ่อย ๆ ตรงไปตรงมา เพราะว่าแอลกอฮอล์จะได้ถูกขับออกมาโดยเร็ว

สี่ ข้อนี้จะช่วยให้ท่านป้องกันตัวเอง และตับไว้ไม่ให้ต้องทำงานโอทีโดยไม่จำเป็น เพราะงานเลี้ยงถือเป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่งของร่างกาย คงจะไม่ค่อยดีนัก ถ้าเราได้พักแล้วยังปล่อยให้ตับต้องทำงานหนักอยู่อย่างโดดเดี่ยว

เมนูลับดับเมาค้าง

นับ แต่เริ่มมีเมรัยมา อาการเมาค้าง ถือเป็นสิ่งที่คู่กัน แม้คนที่ถือว่าคอเหล็กคอแป๊บที่สุด ก็ยังต้องเคยมีประสบการณ์เมาค้างให้รำคาญใจ โดยเฉพาะในวันจันทร์ที่เริ่มทำงานนั้น เป็นเรื่องไม่สนุกเลย ที่จะต้องเดินเพลียเข้าที่ทำงาน จึงอยากนำเมนูแก้เมาค้างง่าย ๆ และเติมสุขภาพให้ตัวท่านได้มาฝากไว้ ดังนี้ครับ

ไข่ตุ๋นและซุปไก่
ใน ไข่ตุ๋นกับซุปไก่นั้น จะมีกรดอะมิโน ชื่อ “ซิสเทอีน" (Cysteine) อยู่ช่วยลดระคายคอ และพบว่าช่วยบรรเทาอาการเมาค้างได้ด้วย ขอให้กินร้อน ๆ ด้วยได้ก็จะยิ่งดี
น้ำส้ม มะนาว กระเจี๊ยบ เกรปฟรุต
ส่วน น้ำผลไม้รสเปรี้ยวจับใจนั้น ใช้ได้ดีมากทีเดียว เพราะวิตามินซี มีผลในการช่วยลดเมาค้างได้ดีมาก ถ้าหาน้ำผลไม้ไม่ได้จริง ๆ อาจไปหลังครัวหยิบมะขามเปียกมาสักสิบฝัก ต้มน้ำเติมน้ำตาลสักนิดก็ดีไม่น้อย ดังนั้น ข้างโถยาดองที่ท่านวางจานมะขามเปียกกับมะยมไว้ให้จิ้มเกลือเม็ด ให้น้ำลายพุ่งออกจากกระพุ้งแก้มเล่นนั้น มันช่วยตัดเหล้าได้จริงทีเดียว
ชารางจืด
รางจืด นั้นเป็นว่านหน้าตาคล้ายใบพลูที่เลี้อยเกาะระแนงไม้ เอาใบรางจืดมาตากแดดไว้แล้วชงดื่มสักหน่อย รับรองว่าเมาค้างจะหายเป็นปลิดทิ้ง
กล้วยหอมน้ำผึ้งเชค
อย่าง กล้วยหอมน้ำผึ้งปั่นนั้นช่วยได้มาก ตรงที่กล้วยหอมมีธาตุร่าเริงอยู่ในเนื้อมัน กินไปมาก ๆ จะช่วยให้สมองสดชื่นมีพลัง และคนที่ความดันสูงก็จะลดลงได้ด้วย ฤทธิ์ธาตุโพแทสเซียมที่มีอยู่ด้วย พอผนวกเข้าไปกับน้ำผึ้ง ซึ่งมีน้ำตาลฟรุกโตสแล้ว ก็ยิ่งช่วยให้กะปรี้กะเปร่ามากขึ้น

แต่ มีข้อแม้ว่าตอนทำเช้คต้องใส่น้ำให้เยอะสักหน่อยครับ อย่าให้หวานจัดเกินไป ประเดี๋ยวหายเมา แต่พาลง่วงนอนหลับต่อเจ้านายไม่ปลื้มอีก

สูตร ที่ดีสุดจริง ๆ คือ “อดใจ” เสียไม่ให้ความอยากเหล้าเข้ามาครองได้ ไม่ว่าจะเข้าหรือออกพรรษาก็ตามที เพราะเหล้านั้นเป็นของ ที่ผลิตมาไว้ให้มันกินเราโดยแท้ทีเดียวครับ แม้ว่าเราอาจถูกมันล้างสมองไปบ้างแล้ว แต่อยากขอให้ “ล้างสมอง” ใหม่อีกทีท่องไว้ว่าไม่มีใครในโลกบังคับจับกรอกปาก ให้เรากินได้ถ้าไม่ใช่ “ความอ่อน” ของตัวเราเอง

ที่มา
นพ.กฤษดา ศิรามพุช พบ. (จุฬาฯ) ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ

เคล็ดลับก่อนฟื้นฟูสุขภาพ ด้วยการล้างพิษ

เคล็ดลับก่อนฟื้นฟูสุขภาพ ด้วยการล้างพิษ


อาหารที่เรารับประทานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้น มีหลายชนิดที่เป็นตัวการทำให้สารพิษก่อตัว และเป็นผลร้ายต่อลำไส้ใหญ่ เช่น อาหารจำพวกแป้ง ฟาสต์ฟู้ด

อาหารทำจากนม เช่น เนย นม ชีส ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า การเน่าบูดของอาหารเหล่านี้อาจก่อให้เกิดปริมาณสารพิษจำนวนมากมายมหาศาล สะสมในลำไส้ใหญ่ และเมื่อสารพิษสะสมไม่มีที่ไปมากจนถึงขั้นวิกฤต ในที่สุดก็จะกระจายเข้าระบบโลหิต ระบบน้ำเหลือง และแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย เปรียบเสมือนถังขยะ ที่เต็มจนล้นออกมา สร้างความสกปรกเน่าบูดเหม็นคลุ้งไปทั่วบ้าน

อาการง่าย ๆ ที่อาจเป็นสัญญาณบอกว่าสารพิษล้นจนร่างกายเริ่มรับไม่ไหว ได้แก่
  • เหนื่อยง่าย
  • ปวดหัว
  • เวียนศีรษะ
  • ไม่มีอารมณ์ทางเพศ
  • ความจำสั้น
  • น้ำหนักเกิน
  • เงียบซึม ไม่กระปรี้กระเปร่า.

ซึ่ง อาการต่าง ๆ เหล่านี้อาจบรรเทาได้ง่ายนิดเดียว เพียงแค่คุณหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพลำไส้ใหญ่ และระบบขับถ่ายให้ทำงานตามปกติ หนึ่งวิธีที่คุณอาจทำได้ง่าย และได้ผล คือ การล้างลำไส้ใหญ่ด้วยน้ำสะอาด หรือที่เรียกว่า Colon Hydrotherapy (โคโลนิค) ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีให้บริการมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตามโรงพยาบาล หรือคลินิกเฉพาะทาง ที่ได้มาตรฐานสากลและผ่านการรับรอง การทำโคโลนิค เป็นการใช้น้ำสะอาดในเกรดสูง แล้วปล่อยอย่างนุ่มนวลเข้าไปชะล้างสารพิษ และสิ่งสกปรกที่เกาะสะสมในลำไส้ใหญ่ ช่วยฟื้นฟูระบบขับถ่าย และสุขภาพโดยรวม จากการที่สารพิษถูกกำจัดก่อนที่จะถูกดูดซึมเข้าไปทำร้ายระบบต่าง ๆ ในร่างกาย

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคุณจะล้างพิษด้วยวิธีไหน เรามีเคล็ดลับง่าย ๆ 5 ข้อ มาแนะนำเพื่อช่วยให้การล้างพิษมีประสิทธิภาพมากขึ้น

1.ก่อนการล้างพิษ ควรศึกษาให้ดีเสียก่อนว่า คุณมีความจำเป็นแค่ไหนในการล้างสารพิษ และ ร่างกายคุณพร้อมสำหรับการล้างพิษหรือเปล่า โรคประจำตัว เช่น หัวใจ ความดัน หรืออายุ อาจเป็นอุปสรรคในการล้างพิษได้ แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ

2.เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะล้างพิษ ระดับหรือประเภทในการล้างพิษ ก็เป็นสิ่งที่ควรพิจารณา เช่น ถ้าคุณยังอายุน้อย และไม่มีอาการระบุจากสารพิษสะสมข้างต้น คุณอาจเริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการรับประทานเพื่อการล้างพิษแทน แต่หากคุณมีปัญหาระบบขับถ่าย และต้องการฟื้นฟูการเคลื่อนตัวของลำไส้ใหญ่ การทำโคโลนิค หรือการใช้น้ำสะอาดสวนล้างลำไส้ใหญ่ก็อาจเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับคุณ

3.เตรียมพร้อมก่อนการล้างสัก 3 - 5 วัน ด้วยการดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอ รับประทานผัก ผลไม้ ให้ได้สักครึ่งหนึ่งของมื้ออาหาร และพยายามงดอาหารกลุ่ม ที่ทำจากนม เนื้อสัตว์ และแป้งขัดสี จะช่วยทำให้การล้างพิษเป็นไปได้อย่างง่ายดายขึ้น

4.ขอให้ใช้ความพยายาม มุ่งมั่น และความอดทน เพราะคุณคงไม่คิดว่าของเสียที่สะสมมาทั้งชีวิต หรืออาการป่วยเรื้อรังที่คุณเป็น จะสามารถรักษาให้หายได้ด้วย การล้างพิษเพียงแค่ครั้งเดียว คุณอาจต้องล้างพิษมากกว่าหนึ่งครั้ง และอาจไปจนกว่าที่จะรู้สึกว่าอาการของคุณดีขึ้น

5.เตรียมตัวเปลี่ยนพฤติกรรมที่ผ่านมาได้เลย หลังจากที่คุณรู้สึกดีขึ้น พยายามเลิกพฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบเก่า ๆ ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานแต่เนื้อสัตว์ ไม่ออกกำลังกาย ไม่เข้าห้องน้ำเมื่อปวดถ่าย นอนดึก พักผ่อนน้อย หากคุณอยากจะให้สุขภาพที่ดีขึ้นอยู่กับคุณไปนาน ๆ

ที่มา
MedMD.com

7.10.12

ต้อกระจก

ต้อกระจก

อาการตามัวในผู้สูงอายุดู จะเป็นเรื่องปกติธรรมดา จนหลาย ๆ คนไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งนี้เท่าใดนัก เพราะคิดไปว่า “แก่แล้ว หูตาก็ฝ้าฟางเป็นเรื่องธรรมดา” แต่ในความเป็นจริงแล้ว วิทยาการทางการแพทย์ในปัจจุบันสามารถช่วยรักษาอาการตามัวในผู้สูงอายุส่วน ใหญ่ได้ ดังนั้น อย่าได้นิ่งนอนใจ ถ้าคุณหรือญาติผู้ใหญ่ของคุณตามัวลง

ต้อกระจก (Cataract) คือ ภาวะที่เลนส์แก้วตาขุ่น แสงจึงผ่านเลนส์เข้าไปยังจอประสาทตาได้น้อยลง หรือบางครั้งการขุ่นนั้น จะก่อให้เกิดการหักเหแสงที่ผิดปกติไป โฟกัสผิดที่ ทำให้จอประสาทตารับแสงได้ไม่เต็มที่ ผู้ป่วยจึงตามัวลง โดยไม่มีอาการอักเสบหรือเจ็บปวดใด ๆ ยิ่งเลนส์แก้วตาขุ่นขึ้น การมองเห็นก็จะลดน้อยลงเรื่อย ๆ ทั้งนี้ ต้อกระจกเป็นสาเหตุ ที่สำคัญอันดับหนึ่งที่ทำให้ผู้สูงอายุตามัวลง

อาการของต้อกระจก

ตามัวลงช้า ๆ เหมือนมีฝ้าหรือหมอกบัง โดยไม่มีอาการปวดตา
เห็นภาพซ้อน สายตาพร่า สู้แสงไม่ได้ เห็นดวงไฟแตกกระจายโดยเฉพาะในเวลากลางคืน
ใน บางรายอาการระยะแรกของต้อกระจก คือ จะมีสายตาสั้นมากขึ้น ๆ ทำให้ต้องเปลี่ยนแว่นสายตาบ่อย ๆ เมื่อต้อกระจกขุ่นมาก แว่นตาจะช่วยไม่ได้
และ ถ้าปล่อยทิ้งไว้ โดยไม่รักษาอาจจะเกิดอาการแทรกซ้อนตามมาได้ เช่น มีอาการปวดตาอย่างรุนแรง และตาแดงมาก เนื่องจากโรคลุกลามกลายเป็นโรคต้อหินเฉียบพลัน และม่านตาอักเสบ จนกระทั่งตาบอดได้ในที่สุด

วิธีการรักษาต้อกระจก

เมื่อ ต้อกระจกเป็นมากจนทำให้สายตาขุ่นมัว การสลายต้อกระจกด้วยคลื่นอัลตราซาวด์ หรือเทคนิค “เฟโค” (Phacoemulsification) พร้อมทั้งใส่เลนส์แก้วตาเทียม เป็นวิธีการรักษาที่ช่วยให้สายตาของผู้ป่วยดีขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสลายต้อกระจกด้วยอัลตราซาวด์ เป็นเทคโนโลยีการผ่าตัดที่ทันสมัย และได้ผลดีมาก ไม่จำเป็นต้องให้ยาสลบ นอกจากนี้ แผลที่เกิดขึ้นจากการรักษาวิธีนี้ จะมีขนาดเล็กมากเพียง 3 ม.ม. จึงสมานตัวได้เป็นปกติอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเย็บแผล ผู้ป่วยจึงไม่จำเป็นต้องนอนพักในโรงพยาบาล สามารถมองเห็นได้ชัดเจนอย่างรวดเร็ว แต่ยังต้องเพิ่มความระมัดระวังในการดูแลความสะอาด และระวังไม่ให้มีอุบัติเหตุกระทบกระแทกต่อดวงตา

ข้อจำกัดของการสลายต้อกระจกด้วยอัลตราซาวด์

ใน กรณีที่ต้อกระจกสุกมาก หรือแข็งตัวมาก หรือในผู้ป่วยที่มีการเลื่อนหลุดของเลนส์แก้วตาจากเส้นใยที่ยึดเลนส์ที่เป็น ต้อกระจกฉีกขาด ซึ่งพบได้ในรายที่ต้อกระจกสุกมากเกินไป หรือมีโรคทางตาบางชนิด หรือเคยได้รับอุบัติเหตุกระทบกระแทกบริเวณดวงตามาก่อน กรณีดังกล่าวข้างต้น ไม่เหมาะสมสำหรับการสลายต้อกระจกด้วยอัลตราซาวด์ จักษุแพทย์อาจพิจารณาทำการรักษาต้อกระจก ด้วยวิธีดั้งเดิม ซึ่งจะต้องเปิดแผลกว้างประมาณ 10 - 12 ม.ม. เพื่อนำตัวเลนส์แก้วตา ที่เป็นต้อกระจกออก แล้วจึงใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปในถุงของเยื่อหุ้มเลนส์เดิม หลังจากนั้น จึงเย็บปิดแผลด้วยไหมเย็บชนิดบางเล็กพิเศษ

ทั้ง นี้ การเลือกวิธีการรักษาต้อกระจกว่าสมควรใช้วิธีใดนั้น จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของจักษุแพทย์ผู้ทำการรักษา โดยที่แพทย์จะสามารถให้ข้อมูลแก่คุณได้ หลังจากทำการตรวจวินิจฉัยดวงตาของคุณโดยละเอียดแล้ว

ที่มา:
ศูนย์จักษุกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ

ไส้ติ่ง

ไส้ติ่ง

" ไส้ติ่ง " คือส่วนของลำไส้ใหญ่ที่ยื่นออกมาเป็นติ่ง อยู่ตรงบริเวณด้านขวาล่าง มีขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย ยาวตั้งแต่ 2 - 20 เซนติเมตร มีรูติดต่อกับลำไส้ใหญ่ แต่เดิมนั้นเรายังไม่ทราบแน่ชัดว่าไส้ติ่งทำหน้าที่อะไร มีประโยชน์หรือไม่ หลายคนคิดว่า ไส้ติ่งเป็นส่วนเกินของร่างกาย เมื่อมีเหตุให้ต้องผ่าตัดช่องท้อง จึงผ่าไส้ติ่งทิ้งไปด้วย เพราะเกรงว่าไส้ติ่งจะสร้างปัญหาหากกลายเป็นไส้ติ่งอักเสบขึ้นมา แต่มีงานวิจัยที่ค้นพบว่า "ไส้ติ่งนั้นมีประโยชน์"

ไส้ติ่งมีไว้ทำอะไร


นัก วิทยาศาสตร์อเมริกันจากมหาวิทยาลัย Duke ค้นพบว่า " ไส้ติ่ง " มีหน้าที่สร้างและปกป้องเชื้อจุลินทรีย์ในช่องท้องของคนเรา จุลินทรีย์ที่ว่านี้ ช่วยในระบบการย่อยอาหาร นอกจากนี้ " ไส้ติ่ง " ยังทำหน้าที่กระตุ้นระบบย่อยอาหาร ให้กลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ในกรณีที่ถูกเชื้อโรคอหิวาต์หรือเชื้อโรคบิดเล่นงาน

ศาสตราจารย์ Bill Parker แห่งมหาวิทยาลัย Duke อธิบายว่า ไส้ติ่ง ทำหน้าที่เป็นเสมือนที่หลบภัยและโรงงานผลิตแบคทีเรียที่มีประโยชน์ อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ของไส้ติ่งจะลดน้อยลงมากในประเทศที่พัฒนาแล้ว เนื่องจากมีโอกาสเกิดโรคอหิวาต์หรือโรคบิดน้อยมาก แต่สำหรับในประเทศด้อยพัฒนา ไส้ติ่งยังคงมีประโยชน์ กับประชากรในประเทศเหล่านั้นอยู่ รายงานบอกด้วยว่า ในประเทศด้อยพัฒนานั้นมีอัตราการเกิดโรคไส้ติ่งอักเสบน้อย มากเมื่อเทียบกับในสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า แม้ไส้ติ่งจะมีประโยชน์ แต่เมื่อติดเชื้อจนมีอาการไส้ติ่งอักเสบ ก็จำเป็นต้องผ่าตัดออก หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจถึงแก่ชีวิตได้ ทั้งนี้ ในแต่ละปี มีชาวอเมริกันเสียชีวิตจากโรคนี้ประมาณ 300-400 คน

ไส้ติ่งอักเสบ

ไส้ติ่งอักเสบ เป็นโรคปวดท้องแบบเฉียบพลัน ที่พบมากที่สุด มักพบในวัยหนุ่มสาวอายุไม่เกิน 30 ปี สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งชายและหญิง

สาเหตุของไส้ติ่งอักเสบ

เกิด จากการอุดตันของไส้ติ่ง แต่ไม่จำเป็นต้องเกิดจากเม็ดฝรั่งตามความเชื่อแต่โบราณ ส่วนใหญ่พบว่า เกิดจากเศษอุจจาระที่แข็งตัว มีบ้างที่เกิดจากสิ่งแปลกปลอม พยาธิ หรือก้อนเนื้องอก ทำให้ไส้ติ่งเกิดการอุดตัน และติดเชื้ออักเสบขึ้น

อาการของไส้ติ่งอักเสบ

โดย ทั่วไป จะมีอาการปวดท้อง บอกตำแหน่งแน่นอนไม่ได้ อาจปวดรอบสะดือก่อน อาจปวดเป็นพัก ๆ หรือตลอดเวลาก็ได้ แต่โดยทั่วไปมักปวดตลอดเวลา หลังจากนั้นอาการปวดจะเริ่มย้ายไปที่ท้องน้อยด้านขวา และปวดตลอดเวลาเช่นกัน อาจมีไข้ต่ำ ๆ มักไม่เกิน 38.5 องศาเซลเซียส อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางคนอาจมีอาการไม่เหมือนดังที่กล่าวมา ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของไส้ติ่ง เช่น อาจปวดท้องด้านขวาบนหรือตรงกลางก็ได้ ถ้าปลายของไส้ติ่งยาวไปถึงบริเวณนั้น

นอกจากนี้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการเบื่ออาหาร กินข้าวไม่ลง บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หากยังไม่ได้รับการรักษา อาการอาจเพิ่มมากขึ้น ไข้อาจสูงมากกว่า 39 องศาเซลเซียส อาจมีอาการปวดมากทั้งด้านซ้ายและขวา กดเจ็บบริเวณที่ปวด และปวดมากเวลาเคลื่อนไหวจนต้องนอนนิ่ง ๆ ซึ่งนั่นหมายถึง ไส้ติ่งเริ่มติดเชื้อรุนแรง เน่า และแตก หรือกลายเป็นฝี โดยทั่วไประยะเวลาตั้งแต่เริ่มปวดจนไส้ติ่งแตก มักไม่เกิน 3 วัน

การรักษาไส้ติ่งอักเสบ

โรค ไส้ติ่งอักเสบ หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอย่างทันท่วงที อาจเกิดโรคแทรกซ้อนได้ เช่น ไส้ติ่งกลายเป็นฝีในท้องต้องผ่าตัดออก หรือไส้ติ่งแตกมีหนองออกมาภายในช่องท้อง ทำให้เสียชีวิตได้

การรักษาไส้ติ่งอักเสบไม่ว่าไส้ติ่งจะแตกหรือไม่ ทำได้โดยการผ่าตัด ในรายที่ไส้ติ่งแตก แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วย

อาการ ปวดท้องในระยะแรกไม่ว่า จะเป็นไส้ติ่งอักเสบ หรือโรคอื่น ๆ ก็ตาม จะแยกโรคได้ยาก ต้องใช้การสังเกตอาการ ดังนั้น ในกรณีที่เริ่มปวดท้องโดยที่ยังไม่ทราบว่าเป็นอะไร อย่าเพิ่งกินยาแก้ปวด ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยก่อน เพราะการกินยาแก้ปวดจะทำให้แพทย์วินิจฉัยแยกโรคลำบาก เนื่องจากยาจะบดบังอาการปวด โดยเฉพาะหากปวดท้องมากติดต่อกันนานกว่า 6 ชั่วโมง ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะส่วนใหญ่แล้ว ถ้าไม่เป็นไส้ติ่งอักเสบ ก็มักเป็นอาการร้ายแรงอื่น ๆ เสมอ


ที่มา
นิตยสาร Scientific

กาแฟ มีประโยชน์??

กาแฟ มีประโยชน์?? 

 

 

ที่ผ่านมา เชื่อกันว่ากาแฟมีผลต่อโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง กระดูกพรุน ทำให้เป็นหมัน ทำให้หญิงตั้งครรภ์แท้ง หรือทารกน้ำหนักน้อย เป็นต้น แต่การวิจัยในระยะหลังระบุว่า "การดื่มกาแฟ" เพียงวันละ 1 - 2 ถ้วย ไม่น่าจะมีปัญหา และอาจให้ผลดี หากดื่มให้เป็น แต่ถ้ามากเกินไปก็ไม่ดี

*กาแฟกับโรคหัวใจ
ผล การศึกษากับคน มากกว่า 400,000 คน ไม่พบว่าการดื่มกาแฟทั้งชนิดที่มีกาเฟอีน และชนิดสกัดกาเฟอีนออก เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาอีกชิ้นหนึ่งที่ติดตามดู กลุ่มผู้หญิง 27,000 คน เป็นระยะเวลา 15 ปี พบว่า การดื่มกาแฟปริมาณน้อย ๆ ประมาณวันละ 1 - 3 ถ้วย ลดความเสี่ยงโรคหัวใจให้น้อยลง 26% อย่างไรก็ตาม หากดื่มกาแฟปริมาณมากกว่านี้ จะไม่ได้ผลดีในการลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

*กาแฟกับความดันโลหิต
เว็บไซต์ มูลนิธิโรคหัวใจ และสโตรคแคนาดา ระบุว่า คนที่ไม่ได้ดื่มกาแฟเป็นประจำ มีแนวโน้มว่าคาเฟอีนจะทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นชั่วคราว ส่วนคนที่ดื่มในปริมาณมากเป็นประจำ เช่น กาแฟวันละ 5 ถ้วย มีส่วนทำให้ความดันโลหิตตัวบนเพิ่มขึ้น 2.4 มิลลิเมตรปรอท และความดันโลหิตตัวล่างเพิ่มขึ้น 1.2 มิลลิเมตรปรอท แต่ถ้าดื่มเป็นประจำในปริมาณน้อย ๆ ผลกระทบยังไม่แน่นอน มีการศึกษาที่ติดตามกลุ่มพยาบาล 155,000 คน ที่ดื่มกาแฟมานาน 10 ปี พบว่าทั้ง กาแฟชนิดที่มีกาเฟอีน และชนิดที่สกัดกาเฟอีนออก ไม่ทำให้ความดันเลือดเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ คณะวิจัยจาก John Hopkins ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง 1,000 คน ติดตามไป 33 ปี ก็พบเช่นกันว่า กาเฟอีนมีผลต่อความดันเลือดน้อยมาก ในทางกลับกัน การศึกษาจาก VA Medical Center ใน Oklahoma City สหรัฐอเมริกา พบว่า คนที่มีความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว ยิ่งดื่มกาแฟ ก็จะยิ่งทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น

การศึกษาทำกับผู้ชาย ที่มีระดับความดันโลหิตต่าง ๆ กัน ตั้งแต่ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือสูงเล็กน้อย ไปจนถึงผู้ที่มีความดันโลหิตสูง จำนวนผู้เข้าศึกษาไม่มากนัก ประมาณกลุ่มละ 18-73 คน

ผลการศึกษาพบว่า กาเฟอีน 250 มิลลิกรัม ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นทั้งตัวบนและตัวล่าง ในทุกกลุ่ม แต่จะสูงขึ้นอย่างมากในผู้ป่วย ที่มีความดันโลหิตสูงอยู่ก่อนแล้ว มากกว่า 1.5 เท่าของกลุ่มที่ความดันปกติ

มีคำแนะนำให้ผู้ที่ความดัน โลหิตสูงหลีกเลี่ยงเครื่องดื่ม ที่มีกาเฟอีนในปริมาณสูง สำหรับผู้ที่ความดันเป็นปกติ ยังไม่พบผลเสียร้ายแรงจากการดื่มกาแฟ

*กาแฟกับมะเร็ง
เมื่อ ปี 2524 คณะนักวิจัยจาก John Hopkins ระบุว่า กาแฟเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งตับอ่อน อย่างไรก็ตาม การศึกษาต่อมาพบว่า กาแฟไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งตับอ่อน คือ บุหรี่

การ ศึกษากับผู้หญิงสวีเดน 59,000 คน ยังพบว่ากาเฟอีนไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเต้านม และยังมีรายงานด้วยว่า การดื่มกาแฟอาจจะมีผลป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้ยังมีรายงานจาก World Cancer Research Fund ว่าการดื่มกาแฟปริมาณปานกลางไม่มีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง

*กาแฟกับกระดูกพรุน
จาก การศึกษาพบว่า กาแฟทำให้การดูดซึมแคลเซียมลดลงเล็กน้อย ประมาณ 27 มิลลิกรัม เทียบเท่ากับนม 1 - 2 ช้อนโต๊ะ และไม่ทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียมทางปัสสาวะเพิ่มขึ้น ปริมาณแคลเซียมเท่านี้ ไม่น่าจะทำให้คนที่กินแคลเซียมมากพอเป็นโรคกระดูกพรุน หากกังวลก็สามารถเติมนมไขมันต่ำ หรือไม่มีไขมันลงไปในกาแฟเพื่อชดเชย หรือดื่มนมเพิ่มสำหรับ ผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 2 ถ้วยขึ้นไป

*กาแฟกับเบาหวาน
จาก การศึกษาพบว่า การดื่มกาแฟจะทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินเพิ่ม ขึ้น 15% กรดไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น ฮอร์โมนอะดรีนาลีนเพิ่มขึ้น ทำให้หัวใจเต้นเร็วและความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อผู้ป่วย ที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว

แต่ก็มีการวิจัยจากฟินแลนด์ และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่พบว่า คนที่ดื่มกาแฟมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานประเภทที่ 2 น้อยกว่าคนที่ไม่ดื่มกาแฟ

*กาแฟกับการตั้งครรภ์และการเป็นหมัน
ก่อน หน้านี้ มีความเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะเป็นผลเสียต่อการตั้งครรภ์ แต่จากหลักฐาน ยังไม่พบผลเสียดังกล่าว นักวิจัยแนะนำว่า การดื่มกาแฟปริมาณน้อย ๆ ขณะตั้งครรภ์ไม่เกิดผลเสีย แต่หากงดได้ก็น่าจะงด ส่วนการเป็นหมันนั้น พบว่าหากดื่มกาแฟมากกว่าวันละ 1 แก้วจะมีโอกาสเกิดการเป็นหมันมากขึ้น

*กาแฟกับการขาดน้ำ
จาก การศึกษาพบว่า การดื่มกาแฟไม่เกิน 550 มิลลิกรัม หรือประมาณ 5 ถ้วยครึ่ง ไม่ออกฤทธิ์ขับปัสสาวะ การดื่มกาแฟทำให้ปัสสาวะมากขึ้น เทียบเท่ากับการดื่มน้ำในปริมาณเท่า ๆ กัน อย่างไรก็ตาม กาเฟอีนจะมีฤทธิ์เป็นยาขับปัสสาวะ หากดื่มเกินครั้งละ 575 มิลลิกรัม หรือประมาณ 6 ถ้วย ดังนั้นขณะออกกำลังกาย หรือหลังออกกำลังกายไม่ควรดื่มกาแฟในปริมาณมาก เพราะจะทำให้ร่างกายขาดน้ำได้

*กาแฟกับน้ำหนักตัว
คา เฟอีน 100 มิลลิกรัมเพิ่มการเผาผลาญพลังงานได้ ประมาณวันละ 75 - 100 กิโลแคลอรี แต่ไม่มีการศึกษาใดที่พบว่า กาแฟช่วยให้ลดน้ำหนักได้ในระยะยาว

ยิ่ง ไปกว่านั้น การศึกษาจากชาวอเมริกัน 58,000 คน ติดตามไป 12 ปี พบว่า กลุ่มตัวอย่างทั้งผู้หญิง และผู้ชายที่ดื่มกาแฟมากขึ้น กลับมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น สาเหตุอาจมาจากน้ำตาล นม และครีมเทียมที่ใส่ลงไปในกาแฟ

*กาแฟกับสมรรถภาพของร่างกาย
คา เฟอีนเพิ่มความสามารถในการออกแรง ออกกำลัง หรือเล่นกีฬา โดยเพิ่มความอดทนหรือความสามารถในการออกแรงได้นานขึ้น กลไกที่คาเฟอีนทำให้สมรรถภาพของร่างกายดีขึ้น น่าจะมาจาก การออกฤทธิ์ทำให้อาการปวดลดลง เช่น ปวดกล้ามเนื้อ ปวดเอ็น กลไกอีกอย่างหนึ่งของคาเฟอีน คือ การทำให้ร่างกายเปลี่ยนระบบเผาผลาญ โดยลดการเผาผลาญแป้งและน้ำตาล และเพิ่มการเผาผลาญไขมัน ทำให้เราออกแรง ออกกำลังได้มากขึ้น

*กาแฟกับอารมณ์
การ ศึกษาพบว่า กาแฟปริมาณน้อย ๆ ไม่เกิน 200 มิลลิกรัม เทียบเท่ากาแฟสด 480 มิลลิลิตร หรือเกือบครึ่งลิตร ทำให้สดชื่น มีพลัง และรู้สึกอยากเข้าสังคมมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากดื่มกาแฟมากกว่านี้ อาจทำให้เครียดง่าย และทำให้ปวดท้องหรือไม่สบายท้องได้

การศึกษาในคน ที่อดนอนพบว่า กาแฟจะกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ไม่ง่วง ช่วยให้ร่างกายตื่นตัวมากขึ้น ตอบสนองต่อสิ่งเร้าเร็วขึ้น ความจำดีขึ้น สมาธิดีขึ้น และยังทำให้ความสามารถในการทำงานดีขึ้น แต่ไม่ช่วยเพิ่มความสามารถในคนที่นอนมากพออยู่แล้ว

กาแฟยังช่วย บรรเทาอาการปวดศีรษะ ลดอาการปวดเมื่อย เนื่องจากไข้หวัด ลดอาการซึมเศร้า และคลายความวิตกกังวล และช่วยให้ผู้สูงอายุกระฉับกระเฉงกระชุ่มกระชวยกว่าคนในวัยเดียวกัน ที่ไม่ได้ดื่มกาแฟ

กาแฟกับโรคอื่น ๆ
การ ศึกษาพบว่า กาแฟชนิดที่มีกาเฟอีนลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์คินสันได้ ประมาณ 30% แต่กาแฟชนิดสกัดกาเฟอีนออก จะไม่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคนี้

การดื่มกาแฟเป็นประจำ ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี และนิ่วในทางเดินปัสสาวะ

นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าการดื่มกาแฟวันละ 3 แก้ว จะช่วยบรรเทาอาการหอบหืด

อย่าง ไรก็ตาม นักวิจัยเตือนว่า การศึกษาเหล่านี้ยังเป็นการศึกษาแรกเริ่ม จำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนหรือคัดค้านต่อไป คอกาแฟอาจจะดื่มกาแฟได้อย่างคล่องคอมากขึ้น แต่ก็อย่าโหมดื่มกาแฟ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อโรค ควรปรึกษาแพทย์ให้แน่ใจก่อนดื่ม

กิน-ดื่ม (น้ำ) ผลไม้ ตอนท้องว่างดีหรือไม่ดี

กิน-ดื่ม (น้ำ) ผลไม้ ตอนท้องว่างดีหรือไม่ดี ??? 

 

 

เกาะที่กระแสเฮลตี้กำลังครองเมืองเช่นนี้ ต้องบอกว่า ผัก-ผลไม้ก็ขึ้นแท่นติดอันดับของอาหารและเครื่องดื่ม ที่อยู่ในใจของคนที่รักสุขภาพเช่นกัน

ผู้ประกอบการหลายราย จึงพยายามสร้างสรรค์ทำให้การดื่ม-กินผักผลไม้เหล่านี้ง่ายขึ้น ด้วยการทำเป็นสำเร็จรูป หรือกึ่งสำเร็จรูป ไปจนถึงการสรรหากรรมวิธี หรือสูตรเด็ดเคล็ดลับต่าง ๆ มาป้อนให้กับผู้บริโภค

ปัจจุบันมีน้ำผลไม้สำเร็จรูปออกมา ในรูปแบบที่มีคำเรียกต่าง ๆ ที่ผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ควรรู้

  • ′น้ำผลไม้สด′ หมายถึง น้ำที่คั้นมาสด ๆ ไม่ได้ปรุงแต่งใด ๆ ทั้งสิ้น
  • ′น้ำผลไม้ที่ผ่านกระบวนการ′ หมาย ถึง ได้นำผลไม้ที่ผ่านกรรมวิธีถนอมอาหารเพื่อยืดอายุโดยใส่สารกันบูด หรือสารปรุงแต่งอื่น ๆ ที่จะเห็นได้อยู่ทั่วไปในรูปของศัพท์ต่าง ๆ
  • ′ น้ำผลไม้ชนิด 100%′ คือ น้ำผลไม้ ที่มีรสชาติใกล้เคียงกับของสดมากที่สุด เพราะไม่มีการปรุงแต่งรสชาติ
  • ′น้ำผลไม้ผสม′ ประเภทนี้จะมีการผสมน้ำผลไม้อื่น ๆ ลงไปด้วย และมักเติมน้ำตาล สารปรุงแต่งรสต่าง ๆ และกลิ่น รวมถึงสารกันบูด โดยจะมีส่วนประกอบหลักอยู่ที่ 40%- 60%
  • ′น้ำผลไม้ยูเอชที′ จะเหมือนน้ำผลไม้ผสม โดยจะมีสัดส่วนอยู่ที่ 20% - 100% และมีการบรรจุแบบสุญญากาศเพื่อยืดอายุ
แม้ จะมีของสำเร็จรูปให้เลือกสรร อย่างไรก็ตาม ผลวิจัยของทุกสถาบัน จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การกิน-ดื่มผลไม้แท้ ๆ ต่างหากที่จะมีประโยชน์สูงสุด แต่การ จะรับประโยชน์ให้ได้สูงสุดนั้น ก็ต้องกินให้ถูกวิธี นั่นคือ ให้กินตอนที่ ′ท้องว่าง′ เรียกว่า พฤติกรรมในการกินผลไม้ตบท้ายหลังมื้ออาหารอย่างที่ทำ ๆ กันอยู่นั้นผิดทาง

นั่นเป็นเพราะว่า ในเรื่องของการย่อยนั้น ผลไม้จะถูกย่อยได้เร็วกว่าอาหารอื่น ๆ แต่ร่างกายไม่สามารถดูดซึมเข้าไปได้ เพราะถูกอาหารที่ยังไม่ย่อยขวางเอาไว้ แล้วเมื่อผลไม้ไปรวมตัวกับอาหารอื่น ๆ จะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร ทำให้แน่นท้อง

นอกจากนั้นแล้ว การกินผลไม้ตอนท้องว่าง จะไปช่วยล้างพิษที่สะสมอยู่ และสำหรับผู้กำลังลดน้ำหนัก ผลไม้เหล่านี้ ยังจะเป็นพลังงานให้กับร่างกายด้วย

ส่วนคนที่ชอบดื่มน้ำผลไม้นั้น ควรเลือกดื่มน้ำผลไม้สด เลี่ยงการดื่มน้ำผลไม้กระป๋อง หรือที่ผ่านความร้อนมาแล้ว เพราะจะไม่หลงเหลือวิตามินอยู่เลย และการดื่มที่จะได้ประโยชน์สูงสุดนั้น ควรดื่มอย่างช้า ๆ ทีละคำ เพื่อให้น้ำผลไม้ไปรวมกับน้ำลายเสียก่อน

นอนไม่หลับ ทำไงดี?

นอนไม่หลับ ทำไงดี? 

 

การนอนหลับเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด เมื่อถึงเวลาเข้าหลับนอน ยามหัวถึงหมอนเมื่อไรแล้ว หลับทันทีเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา น่าอิจฉาคนที่นอนหลับได้อย่างง่ายดาย เมื่อเข้านอนบางคนการนอนให้หลับเป็นสิ่งที่แสนน่าเบื่อ ทรมานทุกทีเมื่อล้มตัวลงนอน แม้จะนอนบนที่นอนนุ่ม ๆ สบาย ๆ แต่ก็ยังพลิกตัวแล้วพลิกตัวอีก ก็ไม่หลับสักที บางคนอาจจะใช้หลาย ๆ วิธีแบบโบราณอย่างเช่น นับหนึ่งถึงร้อย หรือนับแกะจนแกะแทบจะหมดฟาร์มก็ยังนอนไม่หลับ สุดท้ายบางคนต้องพึ่งยานอนหลับจากร้านค้า ยานอนหลับอาจจะทำให้หลับได้จริง แต่นั่น ไม่ใช่เป็นวิธีที่ดีที่สุด มันส่งผลบั่นทอนสุขภาพอีกด้วย มีวิธีที่จะทำให้นอนหลับง่าย ๆ ดังนี้
  • เข้านอนเป็นเวลา การเข้านอนและตื่นนอนเป็นเวลาเดียวกันทุกวันเป็นประจำ จะเป็นการจัดระบบแบบแผนการนอนหลับที่ดีให้แก่ร่างกาย ช่วยให้ร่างกายได้หลับพักผ่อนเต็มที่ในเวลาที่ต้องการ
  • เข้านอนเมื่อ รู้สึกง่วง เมื่อรู้สึกง่วงนอนควรหยุดทำทุกอย่าง แล้วเข้านอนพักผ่อน แต่ถ้าเมื่อเข้านอนแล้วยังไม่หลับ ควรหากิจกรรมเบา ๆ ทำ เช่น อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์เมื่อรู้สึกง่วงแล้วค่อยเข้านอน จะช่วยให้หลับสบายได้ง่ายขึ้น
  • เลือกเสียงเพลงขับกล่อม การสร้างบรรยากาศที่ดี เลือกด้วยการเสียงเพลงที่ฟังแล้วจรรโลงใจทำให้จิตสงบ ผ่อนคลายบรรเลงเบา ๆ ขณะเข้านอน เสียงเพลงนั้นจะขับกล่อมให้คุณเคลิ้มหลับได้ไม่ยาก และยังช่วยเร่งการนอนหลับให้เร็วขึ้น
  • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และคาเฟอี น เพราะสิ่งเหล่านี้ มันจะไปรบกวนระบบการนอนปรกติของคุณสามารถปลุกให้ตื่นกลางดึกได้ สิ่งที่ควรทำหลังรับประทานอาหารมื้อเที่ยง คือ งดมันทุกชนิด รวมทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเย็น
  • ปรับม่านรับแสง การจัดสิ่งแวดล้อมก่อนเข้านอนมีผลต่อการหลับอย่างหนึ่งได้เช่นกัน โดยทั่วไป แสงสว่างจะปลุกให้ตื่นโดยอัตโนมัติ ถ้าคุณเป็นคนทำงานกลางคืนต้องนอนกลางวัน ควรปรับม่านรับแสงให้แสงสว่างเล็ดลอดเจ้าห้องนอนน้อยที่สุด จะช่วยให้คุณนอนหลับได้สบายขึ้น
  • ดื่มเครื่องดื่มอุ่น ๆ ก่อนนอน ตามหลักกายภาพอธิบายว่า เครื่องดื่มอุ่น ๆ จะสามารถเข้าไปปรับอุณหภูมิในร่างกายให้สูงขึ้น ทำให้เกิดอาการง่วงนอนได้อย่างรวดเร็ว หากคุณนอนไม่หลับจริง ๆ นมอุ่น ๆ หรือเครื่องดื่มอุ่น ๆ ที่ไม่ใช่กาแฟ สักแก้ว อาจจะช่วยให้หลับสบายขึ้น
  • ตรวจสอบยาที่รับประทานก่อนนอน ยาหลายชนิด เป็นสาเหตุสำคัญของการนอนไม่หลับ จึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร ทุกครั้งเมื่อคุณได้รับยา ที่ต้องรับประทานก่อนนอน
  • อย่าซื้อยานอนหลับมารับประทานเอง แม้ว่ายานอนหลับจะช่วยให้คุณหลับได้จริง แต่มันส่งผลไม่ดีต่อสุขภาพในระยะยาว ยานอนหลับมีฤทธิ์เป็นสารเสพติดอย่างอ่อน และทำให้ง่วงเหงาหาวนอนในระหว่างวันด้วย ทางที่ดีแทนที่คุณจะใช้ยานอนหลับ คุณควรหากิจกรรมทำในช่วงเย็น เช่น ออกกำลังกายให้ร่างกายได้ใช้แรงบ้าง น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า

การนอนไม่หลับไม่ได้เกิดกับทุก คน แต่หลายคนที่ต้องเผชิญกับอาการนอนไม่หลับที่แสนจะทรมาน ย่อมไม่ปรารถนาที่จะเจอ เพราะเมื่อนอนไม่หลับ ตื่นขึ้นมาร่างกายอ่อนเพลีย รู้สึกเฉื่อยชา ไม่อยากจะทำอะไร อารมณ์ก็พลอยหงุดหงิดไปด้วย บั่นทอนสุขภาพกายและสุขภาพจิต คิดอะไรสมองก็ไม่ปลอดโปร่ง วิธีง่าย ๆ 8 วิธี ดังกล่าวมาแล้ว จะช่วยให้คุณนอนหลับพักผ่อนฝันหวาน การนอนหลับจะช่วยให้ร่างกายที่ทำงานล้ามาตลอดทั้งวันได้พักผ่อน พร้อมทั้งจิตใจและสมองที่คุณใช้ความคิดมาทั้งวันก็จะได้พักด้วย เรียกได้ว่านอนหลับฝันหวานสบาย ๆ ไม่ต้องคิดอะไร ตื่นขึ้นมาก็จะพบกับความสดชื่น สมองปลอดโปร่ง อารมณ์ดี ร่างกายพร้อมจะทำงาน ประสิทธิภาพในการทำงานก็ดีตามมา ทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกับคนอื่นก็เป็นไปอย่างมีความสุข


ที่มา
โรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์

อาหารพิชิตหวัด

อาหารพิชิตหวัด 

 

ช่วงนี้คนใกล้ตัว ไอ จาม เป็นหวัดกันระนาว จะหลีกหนีให้ไกล หรือใส่ผ้าปิดจมูกกันตลอดเวลาคงไม่สะดวก จึงขอป้องกันตัวเองง่าย ๆ ด้วยการเลือกกิน สร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายกันดีกว่า

บรรดาโรค และอาการ ที่มาเยือนร่างกายเราบ่อย ก็เห็นจะเป็นปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ เป็นหวัดนี่ล่ะ เวลาเป็นที ก็รู้สึกอ่อนเปลี้ย เรี่ยวแรงหดหาย สมองไม่ปรู๊ดปร๊าดอย่างเคย อาการเหล่านี้มีโอกาสเกิดได้ง่าย ถ้าร่างกายคุณอ่อนแอ ขณะที่ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย กินอาหารไม่ถึง และถ้าบวกเข้ากับอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย ๆ วันหนึ่งแทบจะ 3 ฤดู อย่างเช่นทุกวันนี้ ก็ยิ่งมีโอกาสเป็นหวัดกันได้ง่าย ๆ

ดังนั้น เราเลยนำเกร็ดความรู้เรื่องอาหาร ที่จะช่วยทั้งป้องกัน และบำบัดอาการหวัดมาบอก

1 ซุปไก่น้ำแกงชั้นยอด

อาหาร ง่าย ๆ ที่เรียกได้ว่าเป็น "เพนนิซิลินธรรมชาติ" และถือเป็นท็อปลิสต์ในบรรดาอาหารพิชิตหวัดทั้งหมด ในแง่ที่สามารถบำบัดอาการได้ดีที่สุด ซุปไก่ร้อน ๆ ช่วยให้ทางเดินหายใจสะดวกขึ้น ให้พลังงาน และถ้าเพิ่มผักเข้าไปด้วย โดยเฉพาะหอมใหญ่ กระเทียม ก็จะยิ่งเพิ่มสรรพคุณในการบำบัดอาการมากยิ่งขึ้นค่ะ

2 อาหารเผ็ดซี้ด


อาหาร จัดจ้านแบบนี้หล่ะ ช่วยให้จมูกโล่งหายใจสะดวกดีนัก เมนูแนะนำต้องนี่เลย ต้มยำ เพราะมีนานาสมุนไพร ที่นอกจากแก้หวัดแล้ว ยังช่วยขับลม และย่อยอาหาร หรือจะเป็นเปปเปอร์มินต์ซุป หรือจริง ๆ ก็ต้มจืดใบสาระแหน่ สูตรนี้ไม่ยาก เหมือนแกงจืดตำลึงทุกอย่างค่ะ แค่เปลี่ยนจากใบตำลึงเป็นสาระแหน่เท่านั้น เหมาะกับคนที่มีอาการคัดจมูก หายใจไม่สะดวกมาก ๆ

3 กระเทียมไร้เทียมทาน

ช่วย ขับเสมหะ และมีคุณสมบัติเป็นยาแก้อักเสบ และในกระเทียมมีสารตัวหนึ่ง ชื่อ alliin เชื่อกันว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยทำลายอนุมูลอิสระที่จะมาทำร้ายเซลล์ ช่วงนี้คุณอาจเพิ่มปริมาณกระเทียม ที่ใส่ในอาหารให้มากขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย แต่มีข้อควรระวัง คือ ไม่ควรกินกระเทียมขณะที่ท้องว่าง เพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะได้

4 น้ำ

เป็น ช่วงที่คุณต้องเติมน้ำให้กับร่างกายมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำเปล่าบริสุทธิ์ น้ำผลไม้สด ๆ 100% น้ำอัดลม หรือจะเป็นน้ำจากผัก ผลไม้สด ได้ทั้งนั้น แต่ที่ดีที่สุดก็ต้องน้ำเปล่า สำหรับบางคนการได้ดื่มอะไรร้อน ๆ จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น ก็อาจเลือกเป็น ชาสมุนไพร เช่น ชาคาร์โมมายล์ ชาเปปเปอร์มินต์ หรือจะจิบน้ำอุ่น ๆ โรยด้วยมะนาวฝานก็ช่วยได้ดีทีเดียวค่ะ

5 ขุนพลตระกูลส้ม

ช่วง เป็นหวัดร่างกายจะต้องการวิตามินซีมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณเป็นคนที่สูบบุหรี่ ซึ่งมีโอกาสเป็นหวัดง่ายกว่าคนไม่สูบ ร่างกายก็จะต้องการวิตามินป้องกันมากเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้น พยายามกินส้มหรือผลไม้ตระกูลส้มให้มาก ไม่ว่าจะกินผลสดเป็นของหวานปิดท้ายมื้ออาหาร หรือจะเป็นน้ำส้มคั้นในมื้อเช้า ก็แล้วแต่ความชอบความสะดวก แต่ผลไม้ยิ่งสดเท่าไหร่ยิ่งเป็นวิตามินซีคุณภาพกับร่างกายมากเท่านั้น

6 นานาวิตามินซี
ไม่ ใช่แค่ผลไม้ตระกูลส้มเท่านั้น ที่มีวิตามินซีสูง ผลไม้ชนิดอื่นก็สามารถร่วมด้วยช่วยกันเป็นกองกำลังช่วยร่างกายต่อสู้กับ อาการจากหวัดได้ เช่น สับปะรด สตรอว์เบอรี่ ฝรั่ง หรือแม้แต่มันฝรั่ง พริกไทยสด ก็มีวิตามินซีสูงเช่นกัน

7 ขิงแก่แต่สด

ขิง สด ๆ ช่วยรักษาอาการไอและไข้ได้ แต่คุณอาจเลือกกิน เป็นน้ำเต้าฮวยร้อน ๆ น้ำขิงชงสำเร็จรูป หรือจะลองทำชาขิงดื่มง่าย ๆ แค่รินน้ำร้อน 1 ถ้วยลงบนขิงสดทุบ 2 ช้อนโต๊ะ ทิ้งไว้ 5 - 10 นาที

การปฏิบัติตัวให้เหมาะกับกรุ๊ปเลือดของตัวเอง


การปฏิบัติตัวให้เหมาะกับกรุ๊ปเลือดของตัวเอง

คนเรามีกรุ๊ปเลือด ที่แตกตางกัน ดังนั้น กรุ๊ปเลือดของแต่ละคน ก็จะสามารถที่จะบ่งบอกถึงพฤติกรรม และการปฏิบัติตัวได้อีกทางหนึ่ง



กรุ๊ปเลือด A สิ่งที่ควรทำฝึกฝนการใช้ความคิดสร้างสรรค์ และรู้จักแสดงความรู้สึกออกมาบ้าง

สิ่งที่ควรทำ

  1. ฝึกฝนการใช้ความคิดสร้างสรรค์ และรู้จักแสดงความรู้สึกออกมาบ้าง
  2. วางแผนการ ที่จะทำในแต่ละวัน
  3. หาเวลาพักระหว่างวัน ทำงานอย่างน้อย 2 ช่วง ๆ ละ 20 นาที ใช้เวลานั่งคิดไตร่ตรองสิ่งต่าง ๆ
  4. รับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อ
  5. บริโภคโปรตีนเพิ่มมากขึ้นในมื้อเช้า และลดปริมาณลงในมื้อเย็น
  6. ไม่ควรกิน เมื่อรู้สึกหงุดหงิด
  7. เปลี่ยนมารับประทานอาหารมื้อเล็ก ๆ 6 มื้อ ต่อวัน แทน 3 มื้ออย่างเคย เพราะจำนวนครั้ง ที่ถี่มากขึ้นช่วยให้ระบบการเผาผลาญทำงานดีขึ้น
  8. หาเวลาสักครึ่งชั่วโมง ฝึกจิตใจให้สงบสัก 3 ครั้งต่อสัปดาห์
  9. หมั่นตรวจร่างกายเป็นประจำ เพื่อป้องกันโรคมะเร็งและหัวใจ
  10. เคี้ยวอาหารให้ละเอียด เพื่อช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น

กินอย่างไร

คน ที่มีกรุ๊ปเลือด A ควรงดนมสด รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนยและชีส เพราะจะทำให้รู้สึกแน่นท้อง เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หันมารับประทานผักใบเขียว และใบเหลืองอย่างฟักทอง แครอท ผักขม บร็อคโคลี่ และพืชตระกูลถั่ว โดยเฉพาะถั่วเหลือง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูง และช่วยป้องกันโรคมะเร็งด้วย

ไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์มากเกินไป เพราะผู้ที่มีหมู่เลือดนี้ จะไม่ค่อยมีเอนไซม์และกรด ในกระเพาะอาหาร ที่จำเป็นต่อการย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์

ดื่มชาเขียวเป็นประจำ จะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันได้ ควรจำกัดน้ำตาล คาเฟอีน และแอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะไปเพิ่มความเครียด และทำให้กระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานช้าลง

อาหารเช้าควร อุดมด้วยโปรตีน สำหรับคนกรุ๊ปเลือด A อาหารเช้าถือเป็นมื้อสำคัญที่สุด และไม่ควรอดอาหาร เพราะจะก่อให้เกิดความเครียดได้ ออกกำลังกาย

คน กรุ๊ปเลือด A จะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดสูงมาก เนื่องจากร่างกายผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมาในปริมาณสูง แต่ฮอร์โมนดังกล่าวสามารถลดลง ถ้าได้ทำกิจกรรมที่ร่างกายต้องจดจ่ออยู่กับ สิ่ง ๆ หนึ่ง อย่างโยคะ ไทชิ หรือฝึกสมาธิกำหนดลมหายใจ

จัดการกับอารมณ์
  • ระบายความรู้สึกออกมา ถ้าต้องการอย่าเก็บกดเอาไว้
  • ก่อนจะเริ่มกิจกรรมหรืองานอื่น ต้องจัดการสิ่งที่ยังคั่งค้างอยู่ให้เสร็จ
  • เด็ดเดี่ยว กล้าตัดสินใจ การผัดวันประกันพรุ่งจะทำให้เกิดความเครียดได้
  • ใน 1 เดือน หาเวลา 1 วัน อยู่เงียบ ๆ เพียงลำพัง
  • หากออกกำลังกาย อย่าหักโหม ต้องหยุดพักก่อนถึงขีดจำกัดของร่างกาย

กรุ๊ปเลือด B

สิ่งที่ควรทำ
  1. สำหรับคนที่มีกรุ๊ปเลือดนี้จิตนาการเป็นเครื่องมืออันทรงพลัง ที่จะพาไปสู่ความสำเร็จได้ในยามว่าง ควรฝึกใช้จินตนาการเพื่อช่วยให้ผ่อนคลาย
  2. สังสรรค์สมาคมกับเพื่อน ๆ คนรอบข้าง หรือร่วมกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น สิ่งนี้จะเป็นโอกาสช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีในกลุ่มให้กับคุณ
  3. จงทำตัวให้เป็นธรรมชาติ

กินอย่างไร

ผู้ ที่มีกรุ๊ปเลือด B ควรบริโภคเนื้อสัตว์ ที่ปลอดสารปรุงแต่งเจือปนและไม่ติดมัน หลาย ๆ ครั้งใน 1 สัปดาห์ เพราะคนหมู่เลือดนี้สามารถเผาผลาญโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ดี

ไม่ควร บริโภคอาหาร ประเภทคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป และหลีกเลี่ยงเนื้อไก่ แต่นมและผลิตภัณฑ์จากนม กลับเหมาะสำหรับคนกรุ๊ปเลือด B เป็นอย่างมาก ออกกำลังกาย ผู้มีกรุ๊ปเลือด B ควรออกกำลังกายประเภทท้าทายร่างกายและจิตใจ

กิจกรรมที่เหมาะต้องเป็นประเภทที่ใช้สมาธิควบคู่กับการออกแรงมาก เช่น เทนนิส ศิลปะการต่อสู้ ปั่นจักรยาน เดินทางไกล และกอล์ฟ

จัดการกับอารมณ์

คน กรุ๊ปเลือด B เมื่อร่างกายอยู่ในสภาวะสมดุล ก็จะสามารถขจัดความเครียด และความวิตกกังวลลงได้ แต่เมื่อใดที่ไม่อยู่ในสภาวะสมดุล ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะเพิ่มสูงขึ้น และทำให้มีโอกาสที่จะติดเชื้อไวรัส เกิดอาการเหนื่อยล้าเป็นเวลานาน จิตใจมัวหมอง และภูมิคุ้มกันบกพร่อง สิ่งที่ต้องทำ คือ ลดฮอร์โมนคอร์ติซอล ที่ร่างกายหลั่งออกมา เพื่อตอบสนองต่อสภาวะเครียด ด้วยการทำสมาธิและการใช้จินตนาการ หากิจกรรมที่กระตุ้นให้เกิดสมาธิ ซึ่งไทชิจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด นอกจากช่วยลดความเครียดแล้ว ยังลดความดันโลหิต และทำให้รู้สึกผ่อนคลายช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น และอาจฟังดนตรี แนวที่ช่วยลดความเครียด หรือเพลงที่ทำให้เกิดจินตนาการ


กรุ๊ปเลือด AB

สิ่งที่ควรทำ
  1. ฝึกฝนนิสัยเป็นมิตรของคุณ โดยเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ รอบตัว และหลีกเลี่ยงสถานการณ์ ที่มีการแข่งขันสูง
  2. เลิกหมกมุ่นกับปัญหา ที่ไม่สามารถควบคุมได้ หรือไม่ได้มีผลกระทบต่อคุณ
  3. ฝึกใช้จินตนาการเป็นประจำทุกวัน
  4. มีแผนการที่ชัดเจน เกี่ยวกับเป้าหมายที่ต้องการบรรลุ โดยกำหนดเป็นรายปี เดือน สัปดาห์ หรือต่อวัน
  5. ค่อย ๆ เปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิต อย่าพยายามจัดการกับทุกสิ่งในเวลาเดียวกัน

กินอย่างไร

ผู้ ที่มีกรุ๊ปเลือด AB ต้องจำกัดปริมาณเนื้อสัตว์สีแดง และไม่ควรรับประทานเนื้อไก่ เนื่องจากร่างกายมีกรดไฮโดรคลอริก ในกระเพาะอาหาร และน้ำย่อยในลำไส้มีปริมาณน้อย ทำให้ย่อยอาหารได้ยาก เปลี่ยนมาบริโภคผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ปลา ไข่ไก่ และผักแทน

อาหาร ที่ควรเลี่ยง สำหรับคนกรุ๊ปเลือด A และ B ก็ควรจะเลี่ยงในผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด AB ด้วยกัน เช่น ไม่ควรบริโภค คาเฟอีน และแอลกอฮอล์มากเกินไป เพราะคาเฟอีนจะไปกระตุ้นให้ร่างกาย หลั่งสารอะดรีนาลีน และนอร์อะดรีนาลีน ซึ่งคนกรุ๊ปเลือด AB มีมากอยู่แล้ว ไม่ควรอดอาหารเพราะจะทำให้เกิดความเครียด

ออกกำลังกาย

ผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด AB ควรทำกิจกรรมทั้งประเภท ที่ก่อให้เกิดความสงบนิ่ง และใช้แรงมาก เช่น โยคะและ การเต้นแอโรบิค

จัดการกับอารมณ์
  1. วางแผนล่วงหน้า ว่าจะทำอะไรเพื่อช่วยลดเหตุการณ์ ที่ไม่คาดฝัน และไม่ให้เกิดความเร่งรีบจนทำอะไรไม่ถูก
  2. หยุด พักในวันทำงาน ด้วยการทำกิจกรรม ที่มีการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะถ้างานของคุณ ต้องนั่งอยู่กับที่ เพราะจะช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น
  3. ปลีกเวลาไปตอบแทนสังคมบ้าง เพราะคนกรุ๊ปเลือดนี้มีพื้นฐาน เป็นคนใจบุญสุนทาน และเห็นอกเห็นใจเพื่อนร่วมโลก ซึ่งอาจใช้วิธีบริจาคเงิน หรือสิ่งของให้แก่ผู้ยากไร้

กรุ๊ปเลือด O

สิ่งที่ควรทำ
  1. มีแผนการที่ชัดเจนเกี่ยวกับเป้าหมาย ที่ต้องการบรรลุ โดยกำหนดเป็นรายปี เดือน สัปดาห์ หรือต่อวัน
  2. หลีกเลี่ยงการตัดสินใจ ในเรื่องใหญ่ ๆ และอย่าใช้เงิน เมื่อเกิดความรู้สึกเครียด
  3. หากรู้สึกเครียด หรือหงุดหงิด พยายามทำให้ร่างกาย เกิดความเคลื่อนไหว
  4. เมื่อเกิดความอยากเหล้า บุหรี่ น้ำตาล และยานอนหลับ สิ่งเหล่านี้จะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสาร ที่ทำให้เกิดความสุขในระยะแรกเท่านั้น ควรหากิจกรรมอย่างอื่นแทน

กินอย่างไร

อาหาร ประเภทโปรตีน เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด O ควรรับประทานเนื้อสัตว์ต่าง ๆให้มาก ยกเว้น หมู นม และผลิตภัณฑ์จากนม ให้บริโภคแต่น้อย เพราะร่างกายจะย่อยได้ยาก จำกัดปริมาณการบริโภค ถั่ว รับประทานผักผลไม้ให้มาก และเปลี่ยนมาดื่มชาเขียว แทนกาแฟ

ออกกำลังกาย

คน ที่มี กรุ๊ปเลือด O ที่ออกกำลังสม่ำเสมอ จะมีการตอบสนองต่ออารมณ์ดียิ่งขึ้น การเต้นแอโรบิค วิ่ง หรือปั่นจักรยาน ครั้งละ 30 - 45 นาที ประมาณ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยให้เกิดสภาวะสมดุลของอารมณ์

จัดการกับอารมณ์
  • กำหนดแผนการ ว่าจะทำอะไรเพื่อลดความซ้ำซากจำเจ เพราะเมื่อคน กรุ๊ปเลือด O รู้สึกเบื่อพวกเขามักทำอะไรเสี่ยง ๆ
  • ฝึกรับมือกับความโกรธ ด้วยวิธีการดังนี้ เมื่อรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมอารมณ์โกรธ ไปเดินเล่นสักพัก ดื่มน้ำ ออกกำลัง หรือเขียนระบายความรู้สึกออกมา รอจนกว่าจะหายโกรธแล้วค่อยกลับมาจัดการกับปัญหา อีกวิธีคือ เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา บ่อยครั้งความโกรธ มีสาเหตุมาจากการเสียความสามารถ ในการควบคุม
  • เมื่อคุณเลือกที่จะแก้ปัญหามากกว่าจะระเบิดอารมณ์โกรธออกมา ก็จะสามารถควบคุมระดับความเครียดในร่างกายให้คงที่ได้

14.9.12

สารกันบูดใน "ก๋วยเตี๋ยว"

สารกันบูดใน "ก๋วยเตี๋ยว"





<< อันตรายจากเส้นก๋วยเตี๋ยว >> 


อันตรายจากเส้นเล็กและเส้นหมี่  ถ้ารับประทานมากๆ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคตับและโรคไตสูง ผลวิจัยชี้เส้นก๋วยเตี๋ยวมหาภัย เติมสารกันบูดเกินมาตรฐานอื้อโดยเฉพาะเส้นเล็ก และเส้นหมี่ เสี่ยงตับไตพัง

เผยบะหมี่เหลือง-วุ้นเส้นปลอดภัยกว่า แนะผู้ประกอบการอย่าโลภผลิตขายข้ามจังหวัดจนต้องใส่สารกันบูด จำนวนมาก ก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารที่คนไทยนิยมบริโภค และเส้นก๋วยเตี๋ยวเป็นวัตถุดิบที่ใช้ปรุงอาหารได้หลายชนิด ทำให้มีการแข่งขันทางการตลาดสูง จากก๋วยเตี๋ยวส่วนใหญ่เป็นเส้นสดที่ค้างหลายวันไม่ได้ ผู้ประกอบการจึงมีการเติมสารกันบูด เพื่อยืดอายุเส้นก๋วยเตี๋ยว ทำให้ยืดระยะเวลาการจำหน่าย ซึ่งสารกันบูดที่นิยมใช้คือ กรดเบนโซอิกและกรดซอร์บิก 
ถ้าร่างกายได้รับปริมาณสูงเป็นเวลานานจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของตับและไตลดลง ดังนั้น คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานอาหารสากล (Codex) ได้กำหนดให้ใช้กรดเบนโซอิกในเส้นก๋วยเตี๋ยวได้ไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
ผลการตรวจวิเคราะห์พบปริมาณกรดเบนโซอิกตั้งแต่ 1,079-17,250 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณที่กำหนดกรดเบนโซอิกในเส้นก๋วยเตี๋ยวตามมาตรฐานสากล โดย
ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก 17,250 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
เส้นหมี่ 7,825 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
ก๋วยจั๊บเส้นใหญ่ 7,358 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
ก๋วยจั๊บเส้นเล็ก 6,305 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
บะหมี่โซบะ 4,593 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ 4,230 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

ผอ.ศูนย์ วิทยาศาสตร์การแพทย์กล่าวว่า จากผลวิจัยดังกล่าวทำให้ความเชื่อเดิม ที่คิดว่าเส้นหมี่ ซึ่งมีลักษณะแห้งจะมีวัตถุกันเสียน้อย แต่จะพบมากในเส้นใหญ่ที่มีความชื้นสูงนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่า กลับมีการใส่วัตถุกันเสียเยอะมากเป็นอันดับ 2 รองจากเส้นเล็ก ส่วนเส้นที่ไม่พบสารเลยคือ เส้นบะหมี่เหลืองเพราะผลิตจากแป้งสาลี ส่วนเส้นอื่นๆ จะผลิตจากแป้งข้าวเจ้าที่มีความชื้นสูง ทำให้ราขึ้นง่าย  จึงมีการใส่วัตถุกันเสีย ขณะที่วุ้นเส้นไม่มีปัญหาเช่นกันไม่ต้องสงสัยเลยว่า ณ วันนี้ “ก๋วยเตี๋ยว” คือ อาหารจานโปรดของคนมากมาย เพราะทั้งกินง่าย ปรุงรสได้ดั่งใจ ราคาไม่แพง พื้นฐานทางโภชนาการของก๋วยเตี๋ยวแต่ละชามนั้นถือว่าสอบผ่าน เพราะมีครบทั้ง 5 หมู่ ทั้งแป้ง โปรตีน และผักประกอบ ยิ่งเป็นชามที่ใส่ถั่วงอก ตำลึง โหระพา ผักกาด โรยด้วย ต้นหอม ผักชี ยิ่งวิเศษ ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นอาหารที่ปรุงร้อน ๆ ทีละชาม จึงช่วยลดควมเสี่ยงต่อเชื้อโรคได้มาก

ฉะนั้น คนรักก๋วยเตี๋ยวจึงจัดว่าเป็นคนมีวิสัยทัศน์อย่างแท้จริง เพราะอาหารชามนี้ให้ทั้งความโอชา และอนามัยครบในชามเดียว

แต่ช้าก่อน...

ไม่ ช้าไม่นานมานี้มีข่าวเตือนภัยคอก๋วยเตี๋ยวจาก ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์อุบลราชธานี ที่ลงมือทำวิจัยชิ้นสำคัญเรื่อง “ความปลอดภัยในเส้นก๋วยเตี๋ยว ในเขตภาคอีสาน” และพบเงื่อนปมเกี่ยวกับปัญหาสารปนเปื้อน ในเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าอย่างจัง ซึ่งถือเป็นข้อมูลที่ผู้บริโภคควรรู้ และให้ความสนใจ เพื่อป้องกันภัยแก่ตนเองยามสั่งก๋วยเตี๋ยวแต่ละชามมาชิม

สารกันบูดในเส้นก๋วยเตี๋ยว

ก๋วยเตี๋ยว ส่วนใหญ่เป็น “เส้นสด” ที่ค้างหลายวันไม่ได้ ผู้ประกอบการจึงเติม “สารกันบูด” หรือ “สารกันเสีย” ลงไปเพื่อช่วยยืดระยะเวลาการจำหน่าย โดยสารกันบูดที่นิยมมาก คือ กรดเบนโซอิก และ กรดซอร์บิก ซึ่งเป็นสารที่หากร่างกายได้รับปริมาณสูงเป็นเวลานาน จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของตับ และไตลดลง

คณะกรรมการกำหนด มาตรฐานอาหารสากล (Codex) ได้กำหนดให้ใช้กรดเบนโซอิกในเส้นก๋วยเตี๋ยวได้ไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม แต่ผลจากการตรวจวิเคราะห์ ตัวอย่างเส้นก๋วยเตี๋ยวใน 4 จังหวัดภาคอีสาน คือ อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ยโสธร และศรีสะเกษ พบผลที่น่าตระหนก เพราะเส้นก๋วยเตี๋ยวทุกประเภทที่เก็บมาตรวจวิเคราะห์ ล้วนแต่พบปริมาณสารกันบูดเกินมาตรฐานถึง 4 เท่าตัวขึ้นไป ดังนี้
  • “เส้นเล็ก” พบปริมาณกรดเบนโซอิกสูงสุด 17,250 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
  • “เส้นหมี่” พบปริมาณกรดเบนโซอิกสูงสุด 7,825 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
  • “เส้นก๋วยจั๊บ” พบปริมาณกรดเบนโซอิกสูงสุด 7,358 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
  • “บะหมี่โซบะ” พบปริมาณกรดเบนโซอิกสูงสุด 4,593 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
  • “เส้นใหญ่” พบปริมาณกรดเบนโซอิกสูงสุด 4,230 มิลลิกรัม/กิโลกรัม

“จาก ผลการวิจัยดังกล่าว ทำให้ความเชื่อเดิมที่คิดว่า เส้นหมี่ ซึ่งมีลักษณะแห้ง น่าจะมีวัตถุกันเสียน้อย และน่าจะพบในเส้นใหญ่ ซึ่งมีความชื้นสูงนั้น แต่ข้อเท็จจริงเส้นใหญ่กลับเป็นรองเส้นเล็ก แต่ที่น่ายินดีคือ "เส้นบะหมี่เหลือง" และ "วุ้นเส้น" เป็นเส้นที่ไม่พบปริมาณสารกันบูดเกินมาตรฐานเลย เพราะผลิตจากแป้งสาลี ส่วนเส้นชนิดอื่น ๆ จะผลิตจากแป้งข้าวเจ้า ที่มีความชื้นสูง ทำให้ราขึ้นง่าย จึงมีการใส่วัตถุกันเสียอย่างหนัก”

แม้การตรวจวิเคราะห์ในครั้งนี้จะทำเฉพาะเขตภาคอีสาน แต่คาดว่าเส้นก๋วยเตี๋ยวทั้งประเทศน่าจะมีปัญหาไม่ต่างกัน

เมื่อ คิดค่าเฉลี่ยน้ำหนักผู้บริโภคคนไทย คือ 50 กิโลกรัม ดังนั้น ปริมาณสูงสุดที่ควรบริโภคคือไม่เกิน 250 มิลลิกรัม/วัน ซึ่งการกินก๋วยเตี๋ยว 1 มื้อ จะมีเส้นประมาณ 50-100 กรัม เท่ากับว่าผู้บริโภคจะได้รับกรดเบนโซอิกอีกประมาณ 226-451 มิลลิกรัม ซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว และเมื่อรวมกับปริมาณวัตถุกันเสียในอาหารอื่น ๆ ที่กินในแต่ละวัน เท่ากับว่า ผู้บริโภคจะได้รับสารนี้จำนวนมาก

นอกจากนี้สารกัน บูดในก๋วยเตี๋ยวไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า อีกทั้งรสชาติของเส้นที่ใส่สารกันบูด กับเส้นที่ไม่ใส่ ไม่มีความแตกต่างกัน และการลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวด้วยน้ำเดือด ก็ไม่สามารถทำลายสารกันบูดได้ เพราะผสมเป็นเนื้อเดียวกับเส้นไปแล้ว

อย. มีข้อแนะนำให้สังเกตเมื่อกินก๋วยเตี๋ยวว่า ที่กินนั้นมีสารกันบูดหรือไม่ โดย...
  1. ถ้าใส่สารเคมีเส้นก๋วยเตี๋ยวจะ “เหนียวหนึบ” กัดไม่ค่อยขาดจากกัน อีกทั้งเส้นที่ใส่สารกันบูดเมื่อนำลวกในหม้อ สังเกตว่าน้ำที่ลวกจะ “ขุ่น”
  2. เส้นก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ หรือเส้นสดที่ใส่สารกันบูด ทิ้งไว้ 2-3 วัน สีสันจะคงเดิม แต่หากมาดมกลิ่นจะ “เหม็นเปรี้ยว” ผิดกับเส้นที่ไม่ใส่สารกันบูด หากทิ้งไว้เพียงคืนเดียว เส้นก็ขึ้นราและบูด


ที่มา
ภก.วรวิทย์ กิตติวงสุนทร ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์อุบลราชธานี

สัญญาณร้าย (ของร่างกาย) ไม่ใช่คำขู่

สัญญาณร้าย (ของร่างกาย) ไม่ใช่คำขู่ 

 

โรคร้ายและโรคแปลกที่เกิดขึ้นมาให้เราผวากัน ที่จริงก็ไม่ใช่จู่โจมเราไม่ให้สุ้มเสียง หากแต่เป็นเพราะ เราปล่อยตัวให้เป็นรังรับเชื้อเองต่างหาก
ก่อนจะเกิดเหตุใหญ่ใดขึ้นมา ย่อมมีสัญญาณเตือนขึ้นมาก่อน เป็นต้นว่า ก่อนเกิดสึนามิก็ต้องมีปลาน้ำลึกหนีตายขึ้นมาเกยตื้นกัน หรืออย่างเวลาใกล้จะดับ จิตใบหน้าจะผุดผ่องเป็นยองใย ดังที่โบราณเรียกว่า “หน้าขึ้นนวล” หรือบางท่านที่ป่วยหนัก ก็อาจจู่เกิดมีแรงกำลังขึ้นมานั่งกินนั่งพูดกันได้อีก ก่อนจะทรุดหนักลงในวันในพรุ่งแล้วก็ลาโลกไป

ในส่วนของโรคร้าย และโรคแปลก ที่เกิดขึ้นมาให้เราผวากันอย่างตอนนี้ก็เหมือนกัน ที่จริงก็ไม่ใช่มันจู่โจมเราไม่ให้สุ้มเสียง หากแต่เป็นเพราะเราปล่อยตัวให้เป็นรังรับเชื้อเองต่างหาก พอร่วมกับการตรวจทันสมัย ที่จับเชื้อโรคได้อยู่หมัดเป็นตัว ๆ นี้ เลยทำให้ดูเหมือนว่ามีเชื้อน่ากลัวมาแอบซุ่มทำร้ายเราอยู่รอบตัว ซึ่งที่จริงแล้วไม่ใช่ดังนั้นเลย

ก่อนเกิดโรคร้ายในกายเรา มันมักจะฟักตัวเริงร่าอยู่ในตัวเรามาพักหนึ่งแล้วครับ ไม่ใช่ว่าจะอยู่ดี ๆ ผุดขึ้นมาเหมือนผีจับยัดได้ ดังตัวอย่างที่เห็นชัด คือ โรคมะเร็ง กว่าที่จะมาโตใหญ่เป็นก้อนคลำได้นี่ มันต้องผลัดลูกสร้างหลานมาแล้วนับล้าน ๆ ตัว จนวิ่งวุ่นเข้าไปในเส้นเลือดเราได้ แล้วจึงได้โผล่เป็นก้อนใหญ่ขึ้นมาให้ได้เห็น

จึงสังเกตได้ว่า เมื่อรู้ว่าเป็นมะเร็งตอนเห็นก้อน มันก็มักจะลามไปไหนต่อไหนแล้ว ที่จริงมันก็ให้สัญญาณเรามาก่อนไม่น้อยนะครับ แต่บางทีเราถูกงานรัดตัว หรือขอผลัดไม่สนใจไว้สักชั่วขณะหนึ่ง แต่เพียงไม่นานมันก็อาจเติบใหญ่จนเกินควบคุมได้

สัญญาณเตือนภัยนี้ ท่านสามารถใช้สังเกตตัวเองก็ได้ หรือคนรอบข้างก็ได้ไม่ยากเลยครับ
  1. เบื่ออาหาร
  2. ผอมลงผิดปกติ (น้ำหนักตัวลดมากกว่า 2 กิโลกรัมต่อเดือน)
  3. หงุดหงิดง่าย อารมณ์ปรวน
  4. ปวดเมื่อยตัวน่ารำคาญ
  5. มึนศีรษะแบบไม่สดชื่น
  6. มีไข้หนาว ๆ ร้อน ๆ
  7. หน้าตา หู ดูแดงก่ำฉ่ำ ราวกับมีความร้อนระอุอยู่ภายใน

สรุป ง่าย ๆ ว่าถ้าจู่ ๆ มีความเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเกิดขึ้น ไม่ว่าจะทางกายหรือแม้แต่อารมณ์จิตใจก็ตามที แสดงว่าต้องมี “เหตุ” ไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องหา “ผู้ร้าย” รายให้เจอโดยเร็ว อย่าปล่อยให้ซ่องสุมผู้คนมาตีท้ายครัวเรา แล้วท้ายสุดก็ยากสุดเกินที่จะแก้

นอกจากนั้น การแก้ปัญหาเมื่อเกิดโรคร้ายขึ้นทุกครั้ง หาใช่การวิ่งโร่ไปหา โรงพยาบาลไม่ เพราะบางทีสถานพยาบาลก็เป็นแหล่งรวม “ดาวร้าย” หลายโรคกว่าที่เรานึกถึงนัก ถ้าเราพากายที่กะปรกกะเปลี้ยอ่อนแอเหลือหลายไปหา อาจเท่ากับพาตัวไปเป็นบ้านหลังใหม่ให้เชื้อเข้ามาเกาะ

ขอ ให้รู้เถิดครับ ว่านอกจากตัวเราเป็นหมอที่ดีที่สุดให้ตัวเองได้แล้ว บ้านที่รักของเราก็ยังเป็นโฮมสวีทโฮม สำหรับการรักษาอาการเจ็บป่วยได้ดีกว่าโรงพยาบาลไหน ๆ อีกด้วย

ดัง นั้น ต่อไปยามป่วยไข้หรือคนใกล้ตัวไม่สบาย ขอให้มั่นใจในศักยภาพของตัว เรานะครับที่เขาจะต้องทำหน้าที่ของเขาแน่เหมือนที่ลอร์ดเนลสันเคยบอกลูก ประดู่อังกฤษก่อนเข้าทำยุทธนาวีกับนโปเลียนว่า “England confides that every men will do his duty” ที่เหลือก็คือ หน้าที่ของท่านในการคอยเฝ้า

“ทำหน้าที่” สังเกตตัวเองเช่นกัน

ขอท่านที่รักเพียงแค่ “ตื่นตัว” แต่ไม่ต้อง “ตื่นกลัว” นะครับ แค่เงี่ยหูฟังแล้วท่านจะได้ยินเสียงกายร้องได้ชัดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ครับ

ที่มา
นพ. กฤษดา ศิรามพุช
พบ. (จุฬาฯ) ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ

โรคลำไส้แปรปรวนอันตรายของคนเมือง




      เคยรู้สึกไหมว่ามีลมในกระเพาะมาก และเป็นคนเครียดจัดหรือไม่ ระวังจะเป็นโรคลำไส้แปรปรวน

       คยรู้สึก เหมือนมีลมอยู่ในท้อง ต้องเรอหรือผายลมบ่อยๆ มีอาการท้องเสียสลับท้องผูกกันบ้างหรือเปล่าคะ อาการมากมายจนสับสนไปหมดไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่ ดังนั้นมาหาคำตอบเพื่อไขข้อข้องใจ พร้อมกับรับมือกับอาการแปรปรวนเหล่านี้กันค่ะ
โรคลำไส้แปรปรวน คืออะไร
        นพ.ณัฏฐากร วิริยานุภาพ แพทย์อายุรกรรมโรคระบบทางเดินอาหารและตับ ได้ให้ความรู้ว่า โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) คือ โรคของลำไส้ที่บีบตัวผิดปกติ โดยตรวจไม่พบก้อนเนื้องอกด้วยการส่องกล้องตรวจลำไส้ จึงลงความเห็นว่าเป็นโรคลำไส้แปรปรวน ซึ่งเป็นโรคที่พบบ่อยในระบบทางเดินอาหาร และพบมากในคนวัยทำงานที่มีอายุ 30-50 ปี ซึ่งในปัจจุบันขยายผลไปยังกลุ่มวัยรุ่นเพิ่มขึ้น

   เช็คอาการเตือนจากร่างกายด้วยตัวเอง
       การสังเกตความผิดปกติในเรื่องระบบขับถ่ายของตัวเราเอง เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้รู้ว่าระบบภายในร่างกายมีความผิดปกติหรือ เปล่า อย่างโรคลำไส้แปรปรวน จะมีสัญญาณเตือนออกมาในรูปแบบของระบบการขับถ่ายที่ผิดปกติ และมักมีอาการเด่นชัด ดังนี้

      มีอาการปวดท้อง โดยอาจจะปวดบริเวณกลางท้อง หรือปวดบริเวณท้องน้อย แต่โดยทั่วไปจะปวดท้องน้อยด้านซ้าย ลักษณะอาการปวดมักจะปวดแบบเกร็ง
      มีอาการแน่นท้อง ท้องอืด
      มีอาการท้องโตขึ้น เหมือนมีลมอยู่ในท้อง อาจมีอาการเรอหรือผายลมบ่อย
      มีอาการถ่ายผิดปกติ เช่น ท้องผูก ท้องเสีย หรืออาจมีท้องผูกสลับท้องเสีย บางรายอาจมีความรู้สึกเหมือนถ่ายไม่สุด
      การขับถ่ายอุจจาระมีลักษณะเหลว หรือเป็นมูกร่วมด้วย แต่จะไม่มีเลือด อาการมักจะเป็นๆ หายๆ มากน้อยสลับกันและมีอาการเกิน 3 เดือน

   รู้ทันสาเหตุ ห่างไกลโรคลำไส้แปรปรวน

       การป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บอย่างหนึ่งคือ การรู้เท่าทันต้นตอสาเหตุของโรค หากเรารู้จุดเริ่มต้นของโรคนี้ว่าเกิดจากอะไรก็จะได้ไม่ต้องเผชิญกับเส้นทาง เดียวกับโรคนี้ และเป็นหนทางที่จะทำให้รับมือกับโรคภัยที่จะเกิดขึ้นกับตัวเราเองได้ดีที่ สุด ถึงแม้ปัจจุบันจะยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอนของการเกิดโรค แต่จากการศึกษาพบว่าปัจจัยที่เป็นสาเหตุของโรคนี้มี 3 อย่างได้แก่

      1.เกิดจากการบีบตัวของลำไส้ผิดปกติ เป็นผลมาจากการหลั่งสารหรือฮอร์โมนที่ผิดปกติบางอย่างในผนังลำไส้ ทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องผูก หรือท้องเสียขึ้นได้
      2.เกิดจากระบบประสาทที่ผนังลำไส้ไวต่อสิ่งเร้า หรือตัวกระตุ้นมากผิดปกติ ตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการผิดปกติ ได้แก่ อาหารที่มีรสเผ็ด เปรี้ยว กาแฟ แอลกอฮอล์ ช็อกโกแลต รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ได้แก่ ความเครียด ความวิตกกังวลเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดการบีบตัวของลำไส้ผิดปกติ ทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องผูกหรือท้องเสียได้
      3.เกิดจากความผิดปกติในการควบคุมการทำงานของลำไส้ โดยปกติแล้วประสาทรับความรู้สึกที่ผนังลำไส้ ระบบกล้ามเนื้อของลำไส้ และสมอง จะทำงานสอดคล้องกัน แต่หากสารที่ควบคุมการทำงานของลำไส้เกิดความผิดปกติก็จะส่งผลให้การทำงานของ ลำไส้แปรปรวนได้

   2 แนวทาง รับมือโรคลำไส้แปรปรวน
       หากใครที่กำลังเผชิญกับสภาวะลำไส้แปรปรวนไม่ควรกังวล แต่จะต้องกล้าเผชิญพร้อมรับมือ และจัดการกับโรคที่กำลังสร้างความรำคาญให้ชีวิตอยู่นั้นให้ได้ ด้วยการรักษาที่ถูกต้อง และหมั่นดูแลร่างกาย จิตใจให้ผ่อนคลายอยู่เสมอ โดยวิธีการที่จะควบคุมกับโรคนี้มีดังนี้

      วิธีแรกคือ การกินยา (ตามคำแนะนำของแพทย์) โดยยาที่ใช้รักษาจะเป็นยาที่รักษาตามอาการ เพราะยังไม่มียาชนิดใดที่รักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ เช่น กลุ่มคนที่มีอาการปวดท้อง อาจจะกินยาที่ช่วยคลายการบีบตัวของลำไส้ ลดอาการปวดเกร็ง กลุ่มคนที่มีอาการท้องอืด มีลมในท้อง อาจจะกินยาลดแก๊สในกระเพาะ หรือยาขับลม ส่วนกลุ่มคนที่มีอาการท้องผูก อาจจะกินยาที่ช่วยเพิ่มไฟเบอร์ หรือยาระบายอ่อนๆ ซึ่งการรักษาจะต้องรักษาตามอาการเพราะยังไม่มียาชนิดใดที่สามารถรักษาครอบ คลุมอาการทุกอย่างได้

      นอกจากการรักษาด้วยยาแล้ว วิธีที่สำคัญอีกอย่างที่จะช่วยป้องกันการเกิดโรคคือ การปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง เพราะโรคนี้มีโอกาสเป็นๆ หายๆ และส่วนใหญ่จะมีอาการที่เป็นมานานแล้ว ไม่ได้เป็นแค่ระยะเวลาสั้นๆ ดังนั้นคนที่มีอาการส่วนใหญ่มักจะพฤติกรรมการกินที่ไม่ถูกต้อง

   ตามใจปาก โรคลำไส้แปรปรวนถามหา

       เคยได้ยินกันบ้างไหมว่า กินอะไรร่างกายก็ได้อย่างนั้น ดังนั้นการปฏิบัติตัวในเรื่องการกินจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด หากกินผิดไม่ใช่แค่โรคลำไส้แปรปรวนเท่านั้น ยังก่อให้เกิดโรคร้ายอื่นๆ ตามมาเพราะการกินนั่นเอง

   แยกแยะอาการยาก รบกวนการดำเนินชีวิต
      ลักษณะอาการของโรคลำไส้แปรปรวนจะคล้ายคลึงกับอาการท้องเสียจึงมักแยกแยะ ลำบาก ทำให้บางครั้งเกิดการปล่อยปละละเลย ไม่ไปพบแพทย์เพราะคิดว่าท้องเสียกินยาเอง นอนพักผ่อนเดี๋ยวก็หาย แต่ผลกลับกัน บางรายอาจจะมีอาการเป็นๆ หายๆ และเป็นมานาน ทำให้สร้างความรำคาญและทุกข์ทรมานใจจนเกิดความวิตกกังวลว่า ทำไมไม่หายสักที ผลที่ตามมาคือเป็นโรคเครียด ซึ่งโรคเครียดนี่แหละที่เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้โรคลำไส้แปรปรวน กำเริบขึ้นมาอีก

   ความเครียด ตัวอันตรายทำให้เกิดโรคลำไส้แปรปรวน

      ความเครียดเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลทำให้โรคลำไส้แปรปรวนแสดงอาการรุนแรงมาก ขึ้น เพราะเมื่อเครียดสมองจะมีการหลั่งสารบางอย่างออกมาส่งผลให้ลำไส้แปรปรวน ยิ่งในยุคปัจจุบัน ทั้งสภาพเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมยังเป็นตัวกระตุ้นให้คนเกิดความเครียดมาก ขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีชีวิตประจำวันที่เครียด ทำงานดึก พักผ่อนน้อย วันหนึ่งนอนไม่กี่ชั่วโมง และใช้สมองในการคิดการทำงานค่อนข้างมาก ยิ่งถ้าเป็นคนที่มีบุคลิกค่อนข้างขี้โกรธ หงุดหงิดง่าย และไม่ได้ออกกำลังกายจะเกิดโรคลำไส้แปรปรวนได้ง่ายมากขึ้น

      นอกจากนี้จากสถิติแล้วคนที่มีอาการเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ รักษาไม่หายสักที มักพบว่าต้นเหตุลำดับต้นๆ ที่ทำให้เกิดโรคของเขามาจากความเครียดด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งรักษาไม่หายก็ยิ่งเพิ่มความกังวลกลัวว่าจะเป็นอย่างอื่นร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง ซึ่งต้องบอกไว้เลยว่าโดยธรรมชาติของโรคนี้ไม่เปลี่ยนไปเป็นมะเร็ง ดังนั้นหากพบอาการของโรคเกิดขึ้นกับตนเองแนะนำว่าควรจะมาพบแพทย์ เพื่อทำการตรวจและรักษาให้เหมาะสมต่อไป

   นักบัญชี หรือทำงานด้านการเงินเสี่ยงเกิดโรคลำไส้แปรปรวน

      ในยุคภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ทำให้คนเกิดความเครียดเพิ่มมากขึ้น และคนไข้ที่มาพบแพทย์ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ทำงานในเรื่องของการเงิน เช่น นักบัญชี ทำงานธนาคาร หรือกลุ่มที่รับผิดชอบเรื่องเงิน อาจเพราะต้องคอยแบกรับและต้องรับผิดชอบเรื่องเงิน จึงทำให้เกิดความเครียดได้ง่าย ดังนั้นในการรักษาจะทำการแนะนำคนไข้ว่าต้องมีการแบ่งเวลาในการทำงานและพัก ผ่อนให้เพียงพอ

   ทำไมถึงพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

      โรคลำไส้แปรปรวนมักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ในอัตราส่วนประมาณ 2:1 ซึ่งอาจเป็นเพราะว่า ผู้หญิงมีความวิตกกังวลสูงกว่าผู้ชาย เพราะว่าโรคนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความเครียด ความวิตกกังวลอารมณ์ ผู้หญิงจะไวต่อสิ่งแวดล้อม ต่อสิ่งเร้าที่เข้ามา ผู้หญิงจะเครียดมากอาจจะเก็บอารมณ์ไว้กับตัวเอง ไม่เล่าให้ใครฟัง ก็เกิดเป็นภาวะเครียดสะสมทำให้คนกลุ่มนี้มีโอกาสเป็นโรคลำไส้แปรปรวนมากกว่า

   วิธีเอาชนะความเครียด
      สิ่งที่เข้ามาช่วยบรรเทาความเครียดอีกหนึ่งอย่างคือ การนั่งสมาธิ การรู้เท่าทันอารมณ์ เป็นเรื่องของสติ ของจิตใจ เพราะถ้าเรารู้เท่าทันอารมณ์ของเรา ความเครียดทั้งหลายก็จะเบาลง หยุดลงแค่นั้น ไม่ปล่อยให้มันดำเนินต่อ ซึ่งเป็นวิธีการที่จะช่วยลดอาการต่างๆ ลงได้ นอกจากนี้ควรออกกำลังกายจะช่วยทำให้ร่างกายได้มีการพักผ่อน ผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียด ส่งผลให้จิตใจผ่อนคลายตามไปด้วย

       เมื่อรู้ต้นสายปลายเหตุของการเกิดโรคลำไส้แปรปรวน และพร้อมรับมือกับโรคร้ายที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเราแล้ว รับรองว่าโรคจะหายไปโดยเร็ว และไม่กลับมาสร้างความรำคาญให้กับชีวิตอีก

หลากคำถาม โรคลำไส้แปรปรวน - โรค IBS


โรคลำไส้แปรปรวน


มาทำความรู้จักกับโรคไอบีเอส (IBS) กันเถอะ (Lisa)

          ปวด แสบแน่นท้อง ไม่สบายท้อง คลื่นไส้อาเจียน ท้องผูก หรือท้องเสียบ่อย ๆ อาจเป็นอาการของโรคไอบีเอส ซึ่งผู้หญิงมักเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ชาย วันนี้มารู้จักโรคไอบีเอส หรือลำไส้แปรปรวนกัน

โรคกระเพาะอาหาร และลำไส้แปรปรวน เป็นอย่างไร

          ถ้าอาการเป็นเพียงที่กระเพาะอาหาร ก็เรียกกระเพาะอาหารแปรปรวน หรือบ้างก็เรียกลำไส้แปรปรวน ถ้าอาการเด่นเรื่องการขับถ่ายผิดปกติ หรืออาการทางลำไส้ ซึ่งมีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Irritable Bowel Syndrome (IBS) จะขอเรียกทับศัพท์ว่า โรคไอบีเอส

          โดยโรคนี้เป็นโรคที่พบบ่อยมากทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทย ถ้าสังเกตดี ๆ อาจพบคนเป็นโรคนี้อยู่รอบ ๆ ตัวเราได้ อย่างเช่น บางคนเมื่อเจอความเครียด หรือตื่นเต้นจะขึ้นเวทีร้องเพลง ปราศรัย ก็จะมีอาการปั่นป่วนท้อง บางคนทานอาหารเผ็ดเปรี้ยว หรือนมก็ปวดท้อง ต้องรีบเข้าห้องน้ำ ถ่ายเละ ๆ ครั้งสองครั้งแล้วก็หายเอง

แล้วคนที่เป็นโรคนี้จะมีอาการอย่างไร

          อาการของโรคไอบีเอส แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มอาการคือ

          1. มีอาการปวดท้อง ไม่ว่าจะเป็นแสบ แน่น อืด ลมเยอะ บีบมวน หรือผสมกัน หรือเพียงรู้สึกไม่สบายท้อง คลื่นไส้อาเจียน

          2.อาจมีการขับถ่ายผิดปกติร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นท้องผูก ท้องเสีย ต้องรีบเข้าห้องน้ำถ่าย หรือถ่ายบ่อย

          ใน ปัจจุบันยังไม่อาจพิสูจน์ได้ว่า เกิดจากอะไรแน่นอน แต่พบว่ามีสิ่งกระตุ้นได้ โดยเฉพาะความเครียด โรคนี้ตรวจแล้วไม่พบความผิดปกติ ในสมัยก่อนจึงเรียกโรคนี้ว่า เครียดลงกระเพาะอาหารและลำไส้ ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นโรคกระเพาะอาหารและลำไส้แปรปรวน เพราะสิ่งที่กระตุ้นไม่ได้มีเพียงเฉพาะความเครียด อาจเกิดจากการทานอาหารไม่เป็นเวลา ทานอาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด มันจัด นม ชา กาแฟ น้ำอัดลม สุรา บุหรี่ ยาบางอย่าง หรือความเจ็บป่วยบางอย่างก็กระตุ้นให้เกิดอาการได้

          เมื่อตรวจละเอียดแล้ว ไม่เกิดความผิดปกติของโครงสร้างที่อธิบายอาการได้ แต่พบความผิดปกติของหน้าที่ อย่างเช่น บีบตัวน้อยหรือมากผิดปกติบางครั้งบางคราว หรือรับรู้ผิดปกติ เช่น แสบท้อง เหมือนมีแผล แต่ตรวจแล้วไม่มีจริง บางครั้งบางคนเรียนรู้เองโดยธรรมชาติแล้วนำมาเป็นข้อดีก็ได้ อย่างเช่น ดื่มกาแฟ หรือสูบบุหรี่ตอนเช้าก่อนเข้าห้องน้ำ แล้วทำให้ถ่ายง่ายโล่งสบายไปทั้งวัน

โรคลำไส้แปรปรวนอันตรายต่อชีวิตไหม

          ไม่ อันตรายถึงกับชีวิต และไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารและลำไส้ด้วย เว้นแต่ท้องผูกเรื้อรังนาน ๆ ที่สัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งลำไส้ได้ แต่ ต้องขอย้ำว่า จำเป็นต้องผ่านการตรวจละเอียดก่อนว่า ไม่มีโรคอื่นซ่อนอยู่ที่หลอกอาการคล้าย ๆ กัน ก่อนที่จะสรุปว่าเป็นโรคนี้ ไม่ใช่ทึกทักเองว่าเป็นโรคไอบีเอส

          โรคนี้เป็นเรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ ทั้งชีวิต ความรุนแรงของโรคหลากหลายมาก ส่วนใหญ่จะเป็นเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำให้รู้สึกรำคาญได้ กลุ่มนี้มักไม่ได้ปรึกษาแพทย์ เพราะเป็นมานาน ชินกับอาการเหล่านี้ และคิดว่าเป็นปกติของตัวเราเองมากกว่า บางคนมีอาการมาก ต้องปรึกษาแพทย์ นอนโรงพยาบาลบ่อย ๆ ก็มี

มีโรคอื่นไหมที่มีอาการคล้าย ๆ กัน

          มีเยอะเลย โดยเฉพาะแผลในกระเพาะอาหาร หรือลำไส้ กระเพาะอาหารหรือลำไส้อักเสบ นิ่วในถุงน้ำดี หรือท่อน้ำดี มะเร็งกระเพาะอาหารและลำไส้ ตับอักเสบ มะเร็งตับ มะเร็งตับอ่อน โรคเหล่านี้ในช่วงแรก ๆ จะมีอาการคล้ายกับโรคไอบีเอสได้

จริงหรือที่ว่า โรคลำไส้แปรปรวนมักเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

          โดยสถิติเป็นอย่างนั้น แต่ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าเพราะอะไร เชื่อว่าเพราะเป็นความละเอียดอ่อนทางความคิด หรืออารมณ์ในผู้หญิงอาจมีมากกว่าผู้ชาย ผู้ชายก็มีความเครียดเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยหมกมุ่นวิตกกังวลมากเท่าผู้หญิง และมักมีทางระบายออกได้มากกว่า

มีวิธีรักษาโรคลำไส้แปรปรวนอย่างไร

          โดยทั่วไปมี 2 วิธีร่วมกัน คือ หนึ่งการให้ยารักษาเมื่อมีอาการ โดยการปรับยาให้เหมาะสมกับอาการครั้งนั้น ๆ ซึ่งอาการอาจมีการเปลี่ยนแปลงสลับไปมาได้ ยาใช้รักษาแต่ไม่ป้องกัน จึงจำเป็นต้องมีข้อสองร่วมด้วย คือการป้องกัน

แล้วการทานยาระบายจะช่วยได้ไหม

          ช่วยได้ แต่ควรนาน ๆ ครั้ง ถ้าทานเป็นประจำนาน ๆ ก็จะติดยาได้ ควรฝึกในเรื่องอาหาร และการขับถ่ายตามที่อธิบายเบื้องต้นตลอดชีวิต เพื่อเป็นการป้องกันระยะยาว แต่บางรายท้องผูกรุนแรงมาก จึงจำเป็นต้องใช้ยาในระยะยาวก็มี

คนไข้ส่วนใหญ่ที่เป็นโรคลำไส้แปรปรวนอยู่ในวัยใด

          หลากหลายอายุ ที่พบบ่อยคือผู้หญิง ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยกลางคน

แล้วหวัดลงกระเพาะจะมีอาการอย่างไร บางครั้งดูคล้ายโรคไอบีเอสด้วยหรือไม่

          อาจมีอาการคล้ายโรคไอบีเอส แต่มีอาการของไข้หวัดร่วมด้วย โดยเฉพาะที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ไม่ควรเรียกว่าเป็นโรคไอบีเอส เพราะมีสาเหตุชัดเจน ควรจะเรียกว่า กลุ่มอาการของการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดมากกว่า เมื่อไข้หวัดหาย อาการเหล่านี้ก็จะหายไป

ข้อแนะนำจาก นพ.พงษ์สิทธิ์ วงศ์กุศลธรรม สาขาอายุรกรรมโรคทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลกรุงเทพ

          ใน คนไข้ที่มีอาการปวดท้อง หรือขับถ่ายผิดปกติ ถ้าเป็นบ่อย หรือเป็นมานานแล้ว หรือใช้ยารักษาเบื้องต้นแล้วไม่ดีขึ้น ควรจะตรวจหาให้ละเอียดว่าเป็นโรคอะไรกันแน่ เพราะบางครั้งอาจเกิดจาก โรคร้ายที่ซ่อนอยู่ก็ได้ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ หรือมีญาติพี่น้องเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ลำไส้ หรือตับ เพราะโรคเหล่านี้อาการเบื้องต้นอาจคล้ายกับโรคไอบีเอสได้ หรือมีอาการที่ชวนสงสัยว่า เป็นโรคร้าย อย่างเช่น เบื่ออาหาร ผอมลง ถ่ายหรืออาเจียนมีเลือดปน ถ่ายมีมูก ถ่ายผูกสลับเสีย

          คนเรามักเหมาคิดไปเองว่า เครียดลงกระเพาะลำไส้ เมื่อทิ้งไว้นานเกินไปแล้วมาตรวจภายหลัง ก็อาจเจอโรคมะเร็งซ่อนอยู่ในระยะสุดท้าย ซึ่งยากต่อการรักษาและเปลี่ยนอนาคตได้

วิธีป้องกันโรคลำไส้แปรปรวน

          พยายาม หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นดังกล่าวข้างต้น และพบว่าสิ่งกระตุ้นไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกคน ต้องสังเกตตัวเองก่อนว่า มีอะไรบ้างที่กระตุ้นให้เกิดอาการ แล้วพยายามเลี่ยงสิ้งนั้น ที่ยากสุดคือความเครียด ซึ่งมีทั้งรู้ตัวและซ่อนเร้น และบางครั้งมาเร็วจนปรับตัวไม่ทัน เกิดอาการเสียก่อน แต่ก็ไม่ต้องกลัวนะครับ เพราะทานยาก็ทำให้อาการทุเลาลงได้ และมีการปฏิบัติตัวเสริม เพิ่มเติมในผู้ป่วยที่ท้องผูก 5 ข้อ

          1.ทานผักและผลไม้ให้มากในแต่ละวัน โดยควรแบ่งทานน้อย ๆ แต่บ่อย ๆ ตลอดทั้งวัน ไม่ควรทานมากในครั้งเดียว เพราะอาจทำให้แน่นท้องได้

          2.ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวัน เพื่อให้อุจจาระนุ่ม

          3.ออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อให้ลำไส้เคลื่อนไหว

          4.ขับถ่ายให้เป็นเวลา ลำไส้คล้ายสุนัข ฝึกได้ ควรตั้งเวลาเพื่อการถ่าย อย่างเช่น 7 โมงเช้าต้องเข้าห้องน้ำ ในช่วงแรกอาจไม่รู้สึกปวดถ่าย แต่เมื่อทำเป็นประจำจะมีความรู้สึกปวดถ่ายมากขึ้น และถ้าระหว่างวันปวดถ่ายอีก ก็ควรเข้าห้องน้ำอีก ไม่ควรกลั้นไว้นาน

          5.นั่งถ่ายให้นานพอ เพื่อไม่ให้มีอุจจาระตกค้างอยู่ในลำไส้ เพราะหากตกค้างนาน ๆ จะทำให้อุจจาระแข็งขึ้นได้ นอกจากนี้ เมื่ออุจจาระสะสมนานวันเข้าก็จะท้องอืด แน่นท้อง ท้องป่องได้