7.10.12

ต้อกระจก

ต้อกระจก

อาการตามัวในผู้สูงอายุดู จะเป็นเรื่องปกติธรรมดา จนหลาย ๆ คนไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งนี้เท่าใดนัก เพราะคิดไปว่า “แก่แล้ว หูตาก็ฝ้าฟางเป็นเรื่องธรรมดา” แต่ในความเป็นจริงแล้ว วิทยาการทางการแพทย์ในปัจจุบันสามารถช่วยรักษาอาการตามัวในผู้สูงอายุส่วน ใหญ่ได้ ดังนั้น อย่าได้นิ่งนอนใจ ถ้าคุณหรือญาติผู้ใหญ่ของคุณตามัวลง

ต้อกระจก (Cataract) คือ ภาวะที่เลนส์แก้วตาขุ่น แสงจึงผ่านเลนส์เข้าไปยังจอประสาทตาได้น้อยลง หรือบางครั้งการขุ่นนั้น จะก่อให้เกิดการหักเหแสงที่ผิดปกติไป โฟกัสผิดที่ ทำให้จอประสาทตารับแสงได้ไม่เต็มที่ ผู้ป่วยจึงตามัวลง โดยไม่มีอาการอักเสบหรือเจ็บปวดใด ๆ ยิ่งเลนส์แก้วตาขุ่นขึ้น การมองเห็นก็จะลดน้อยลงเรื่อย ๆ ทั้งนี้ ต้อกระจกเป็นสาเหตุ ที่สำคัญอันดับหนึ่งที่ทำให้ผู้สูงอายุตามัวลง

อาการของต้อกระจก

ตามัวลงช้า ๆ เหมือนมีฝ้าหรือหมอกบัง โดยไม่มีอาการปวดตา
เห็นภาพซ้อน สายตาพร่า สู้แสงไม่ได้ เห็นดวงไฟแตกกระจายโดยเฉพาะในเวลากลางคืน
ใน บางรายอาการระยะแรกของต้อกระจก คือ จะมีสายตาสั้นมากขึ้น ๆ ทำให้ต้องเปลี่ยนแว่นสายตาบ่อย ๆ เมื่อต้อกระจกขุ่นมาก แว่นตาจะช่วยไม่ได้
และ ถ้าปล่อยทิ้งไว้ โดยไม่รักษาอาจจะเกิดอาการแทรกซ้อนตามมาได้ เช่น มีอาการปวดตาอย่างรุนแรง และตาแดงมาก เนื่องจากโรคลุกลามกลายเป็นโรคต้อหินเฉียบพลัน และม่านตาอักเสบ จนกระทั่งตาบอดได้ในที่สุด

วิธีการรักษาต้อกระจก

เมื่อ ต้อกระจกเป็นมากจนทำให้สายตาขุ่นมัว การสลายต้อกระจกด้วยคลื่นอัลตราซาวด์ หรือเทคนิค “เฟโค” (Phacoemulsification) พร้อมทั้งใส่เลนส์แก้วตาเทียม เป็นวิธีการรักษาที่ช่วยให้สายตาของผู้ป่วยดีขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสลายต้อกระจกด้วยอัลตราซาวด์ เป็นเทคโนโลยีการผ่าตัดที่ทันสมัย และได้ผลดีมาก ไม่จำเป็นต้องให้ยาสลบ นอกจากนี้ แผลที่เกิดขึ้นจากการรักษาวิธีนี้ จะมีขนาดเล็กมากเพียง 3 ม.ม. จึงสมานตัวได้เป็นปกติอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเย็บแผล ผู้ป่วยจึงไม่จำเป็นต้องนอนพักในโรงพยาบาล สามารถมองเห็นได้ชัดเจนอย่างรวดเร็ว แต่ยังต้องเพิ่มความระมัดระวังในการดูแลความสะอาด และระวังไม่ให้มีอุบัติเหตุกระทบกระแทกต่อดวงตา

ข้อจำกัดของการสลายต้อกระจกด้วยอัลตราซาวด์

ใน กรณีที่ต้อกระจกสุกมาก หรือแข็งตัวมาก หรือในผู้ป่วยที่มีการเลื่อนหลุดของเลนส์แก้วตาจากเส้นใยที่ยึดเลนส์ที่เป็น ต้อกระจกฉีกขาด ซึ่งพบได้ในรายที่ต้อกระจกสุกมากเกินไป หรือมีโรคทางตาบางชนิด หรือเคยได้รับอุบัติเหตุกระทบกระแทกบริเวณดวงตามาก่อน กรณีดังกล่าวข้างต้น ไม่เหมาะสมสำหรับการสลายต้อกระจกด้วยอัลตราซาวด์ จักษุแพทย์อาจพิจารณาทำการรักษาต้อกระจก ด้วยวิธีดั้งเดิม ซึ่งจะต้องเปิดแผลกว้างประมาณ 10 - 12 ม.ม. เพื่อนำตัวเลนส์แก้วตา ที่เป็นต้อกระจกออก แล้วจึงใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปในถุงของเยื่อหุ้มเลนส์เดิม หลังจากนั้น จึงเย็บปิดแผลด้วยไหมเย็บชนิดบางเล็กพิเศษ

ทั้ง นี้ การเลือกวิธีการรักษาต้อกระจกว่าสมควรใช้วิธีใดนั้น จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของจักษุแพทย์ผู้ทำการรักษา โดยที่แพทย์จะสามารถให้ข้อมูลแก่คุณได้ หลังจากทำการตรวจวินิจฉัยดวงตาของคุณโดยละเอียดแล้ว

ที่มา:
ศูนย์จักษุกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ

ไส้ติ่ง

ไส้ติ่ง

" ไส้ติ่ง " คือส่วนของลำไส้ใหญ่ที่ยื่นออกมาเป็นติ่ง อยู่ตรงบริเวณด้านขวาล่าง มีขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย ยาวตั้งแต่ 2 - 20 เซนติเมตร มีรูติดต่อกับลำไส้ใหญ่ แต่เดิมนั้นเรายังไม่ทราบแน่ชัดว่าไส้ติ่งทำหน้าที่อะไร มีประโยชน์หรือไม่ หลายคนคิดว่า ไส้ติ่งเป็นส่วนเกินของร่างกาย เมื่อมีเหตุให้ต้องผ่าตัดช่องท้อง จึงผ่าไส้ติ่งทิ้งไปด้วย เพราะเกรงว่าไส้ติ่งจะสร้างปัญหาหากกลายเป็นไส้ติ่งอักเสบขึ้นมา แต่มีงานวิจัยที่ค้นพบว่า "ไส้ติ่งนั้นมีประโยชน์"

ไส้ติ่งมีไว้ทำอะไร


นัก วิทยาศาสตร์อเมริกันจากมหาวิทยาลัย Duke ค้นพบว่า " ไส้ติ่ง " มีหน้าที่สร้างและปกป้องเชื้อจุลินทรีย์ในช่องท้องของคนเรา จุลินทรีย์ที่ว่านี้ ช่วยในระบบการย่อยอาหาร นอกจากนี้ " ไส้ติ่ง " ยังทำหน้าที่กระตุ้นระบบย่อยอาหาร ให้กลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ในกรณีที่ถูกเชื้อโรคอหิวาต์หรือเชื้อโรคบิดเล่นงาน

ศาสตราจารย์ Bill Parker แห่งมหาวิทยาลัย Duke อธิบายว่า ไส้ติ่ง ทำหน้าที่เป็นเสมือนที่หลบภัยและโรงงานผลิตแบคทีเรียที่มีประโยชน์ อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ของไส้ติ่งจะลดน้อยลงมากในประเทศที่พัฒนาแล้ว เนื่องจากมีโอกาสเกิดโรคอหิวาต์หรือโรคบิดน้อยมาก แต่สำหรับในประเทศด้อยพัฒนา ไส้ติ่งยังคงมีประโยชน์ กับประชากรในประเทศเหล่านั้นอยู่ รายงานบอกด้วยว่า ในประเทศด้อยพัฒนานั้นมีอัตราการเกิดโรคไส้ติ่งอักเสบน้อย มากเมื่อเทียบกับในสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า แม้ไส้ติ่งจะมีประโยชน์ แต่เมื่อติดเชื้อจนมีอาการไส้ติ่งอักเสบ ก็จำเป็นต้องผ่าตัดออก หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจถึงแก่ชีวิตได้ ทั้งนี้ ในแต่ละปี มีชาวอเมริกันเสียชีวิตจากโรคนี้ประมาณ 300-400 คน

ไส้ติ่งอักเสบ

ไส้ติ่งอักเสบ เป็นโรคปวดท้องแบบเฉียบพลัน ที่พบมากที่สุด มักพบในวัยหนุ่มสาวอายุไม่เกิน 30 ปี สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งชายและหญิง

สาเหตุของไส้ติ่งอักเสบ

เกิด จากการอุดตันของไส้ติ่ง แต่ไม่จำเป็นต้องเกิดจากเม็ดฝรั่งตามความเชื่อแต่โบราณ ส่วนใหญ่พบว่า เกิดจากเศษอุจจาระที่แข็งตัว มีบ้างที่เกิดจากสิ่งแปลกปลอม พยาธิ หรือก้อนเนื้องอก ทำให้ไส้ติ่งเกิดการอุดตัน และติดเชื้ออักเสบขึ้น

อาการของไส้ติ่งอักเสบ

โดย ทั่วไป จะมีอาการปวดท้อง บอกตำแหน่งแน่นอนไม่ได้ อาจปวดรอบสะดือก่อน อาจปวดเป็นพัก ๆ หรือตลอดเวลาก็ได้ แต่โดยทั่วไปมักปวดตลอดเวลา หลังจากนั้นอาการปวดจะเริ่มย้ายไปที่ท้องน้อยด้านขวา และปวดตลอดเวลาเช่นกัน อาจมีไข้ต่ำ ๆ มักไม่เกิน 38.5 องศาเซลเซียส อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางคนอาจมีอาการไม่เหมือนดังที่กล่าวมา ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของไส้ติ่ง เช่น อาจปวดท้องด้านขวาบนหรือตรงกลางก็ได้ ถ้าปลายของไส้ติ่งยาวไปถึงบริเวณนั้น

นอกจากนี้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการเบื่ออาหาร กินข้าวไม่ลง บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หากยังไม่ได้รับการรักษา อาการอาจเพิ่มมากขึ้น ไข้อาจสูงมากกว่า 39 องศาเซลเซียส อาจมีอาการปวดมากทั้งด้านซ้ายและขวา กดเจ็บบริเวณที่ปวด และปวดมากเวลาเคลื่อนไหวจนต้องนอนนิ่ง ๆ ซึ่งนั่นหมายถึง ไส้ติ่งเริ่มติดเชื้อรุนแรง เน่า และแตก หรือกลายเป็นฝี โดยทั่วไประยะเวลาตั้งแต่เริ่มปวดจนไส้ติ่งแตก มักไม่เกิน 3 วัน

การรักษาไส้ติ่งอักเสบ

โรค ไส้ติ่งอักเสบ หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอย่างทันท่วงที อาจเกิดโรคแทรกซ้อนได้ เช่น ไส้ติ่งกลายเป็นฝีในท้องต้องผ่าตัดออก หรือไส้ติ่งแตกมีหนองออกมาภายในช่องท้อง ทำให้เสียชีวิตได้

การรักษาไส้ติ่งอักเสบไม่ว่าไส้ติ่งจะแตกหรือไม่ ทำได้โดยการผ่าตัด ในรายที่ไส้ติ่งแตก แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วย

อาการ ปวดท้องในระยะแรกไม่ว่า จะเป็นไส้ติ่งอักเสบ หรือโรคอื่น ๆ ก็ตาม จะแยกโรคได้ยาก ต้องใช้การสังเกตอาการ ดังนั้น ในกรณีที่เริ่มปวดท้องโดยที่ยังไม่ทราบว่าเป็นอะไร อย่าเพิ่งกินยาแก้ปวด ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยก่อน เพราะการกินยาแก้ปวดจะทำให้แพทย์วินิจฉัยแยกโรคลำบาก เนื่องจากยาจะบดบังอาการปวด โดยเฉพาะหากปวดท้องมากติดต่อกันนานกว่า 6 ชั่วโมง ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะส่วนใหญ่แล้ว ถ้าไม่เป็นไส้ติ่งอักเสบ ก็มักเป็นอาการร้ายแรงอื่น ๆ เสมอ


ที่มา
นิตยสาร Scientific

กาแฟ มีประโยชน์??

กาแฟ มีประโยชน์?? 

 

 

ที่ผ่านมา เชื่อกันว่ากาแฟมีผลต่อโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง กระดูกพรุน ทำให้เป็นหมัน ทำให้หญิงตั้งครรภ์แท้ง หรือทารกน้ำหนักน้อย เป็นต้น แต่การวิจัยในระยะหลังระบุว่า "การดื่มกาแฟ" เพียงวันละ 1 - 2 ถ้วย ไม่น่าจะมีปัญหา และอาจให้ผลดี หากดื่มให้เป็น แต่ถ้ามากเกินไปก็ไม่ดี

*กาแฟกับโรคหัวใจ
ผล การศึกษากับคน มากกว่า 400,000 คน ไม่พบว่าการดื่มกาแฟทั้งชนิดที่มีกาเฟอีน และชนิดสกัดกาเฟอีนออก เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาอีกชิ้นหนึ่งที่ติดตามดู กลุ่มผู้หญิง 27,000 คน เป็นระยะเวลา 15 ปี พบว่า การดื่มกาแฟปริมาณน้อย ๆ ประมาณวันละ 1 - 3 ถ้วย ลดความเสี่ยงโรคหัวใจให้น้อยลง 26% อย่างไรก็ตาม หากดื่มกาแฟปริมาณมากกว่านี้ จะไม่ได้ผลดีในการลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

*กาแฟกับความดันโลหิต
เว็บไซต์ มูลนิธิโรคหัวใจ และสโตรคแคนาดา ระบุว่า คนที่ไม่ได้ดื่มกาแฟเป็นประจำ มีแนวโน้มว่าคาเฟอีนจะทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นชั่วคราว ส่วนคนที่ดื่มในปริมาณมากเป็นประจำ เช่น กาแฟวันละ 5 ถ้วย มีส่วนทำให้ความดันโลหิตตัวบนเพิ่มขึ้น 2.4 มิลลิเมตรปรอท และความดันโลหิตตัวล่างเพิ่มขึ้น 1.2 มิลลิเมตรปรอท แต่ถ้าดื่มเป็นประจำในปริมาณน้อย ๆ ผลกระทบยังไม่แน่นอน มีการศึกษาที่ติดตามกลุ่มพยาบาล 155,000 คน ที่ดื่มกาแฟมานาน 10 ปี พบว่าทั้ง กาแฟชนิดที่มีกาเฟอีน และชนิดที่สกัดกาเฟอีนออก ไม่ทำให้ความดันเลือดเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ คณะวิจัยจาก John Hopkins ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง 1,000 คน ติดตามไป 33 ปี ก็พบเช่นกันว่า กาเฟอีนมีผลต่อความดันเลือดน้อยมาก ในทางกลับกัน การศึกษาจาก VA Medical Center ใน Oklahoma City สหรัฐอเมริกา พบว่า คนที่มีความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว ยิ่งดื่มกาแฟ ก็จะยิ่งทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น

การศึกษาทำกับผู้ชาย ที่มีระดับความดันโลหิตต่าง ๆ กัน ตั้งแต่ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือสูงเล็กน้อย ไปจนถึงผู้ที่มีความดันโลหิตสูง จำนวนผู้เข้าศึกษาไม่มากนัก ประมาณกลุ่มละ 18-73 คน

ผลการศึกษาพบว่า กาเฟอีน 250 มิลลิกรัม ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นทั้งตัวบนและตัวล่าง ในทุกกลุ่ม แต่จะสูงขึ้นอย่างมากในผู้ป่วย ที่มีความดันโลหิตสูงอยู่ก่อนแล้ว มากกว่า 1.5 เท่าของกลุ่มที่ความดันปกติ

มีคำแนะนำให้ผู้ที่ความดัน โลหิตสูงหลีกเลี่ยงเครื่องดื่ม ที่มีกาเฟอีนในปริมาณสูง สำหรับผู้ที่ความดันเป็นปกติ ยังไม่พบผลเสียร้ายแรงจากการดื่มกาแฟ

*กาแฟกับมะเร็ง
เมื่อ ปี 2524 คณะนักวิจัยจาก John Hopkins ระบุว่า กาแฟเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งตับอ่อน อย่างไรก็ตาม การศึกษาต่อมาพบว่า กาแฟไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งตับอ่อน คือ บุหรี่

การ ศึกษากับผู้หญิงสวีเดน 59,000 คน ยังพบว่ากาเฟอีนไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเต้านม และยังมีรายงานด้วยว่า การดื่มกาแฟอาจจะมีผลป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้ยังมีรายงานจาก World Cancer Research Fund ว่าการดื่มกาแฟปริมาณปานกลางไม่มีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง

*กาแฟกับกระดูกพรุน
จาก การศึกษาพบว่า กาแฟทำให้การดูดซึมแคลเซียมลดลงเล็กน้อย ประมาณ 27 มิลลิกรัม เทียบเท่ากับนม 1 - 2 ช้อนโต๊ะ และไม่ทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียมทางปัสสาวะเพิ่มขึ้น ปริมาณแคลเซียมเท่านี้ ไม่น่าจะทำให้คนที่กินแคลเซียมมากพอเป็นโรคกระดูกพรุน หากกังวลก็สามารถเติมนมไขมันต่ำ หรือไม่มีไขมันลงไปในกาแฟเพื่อชดเชย หรือดื่มนมเพิ่มสำหรับ ผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 2 ถ้วยขึ้นไป

*กาแฟกับเบาหวาน
จาก การศึกษาพบว่า การดื่มกาแฟจะทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินเพิ่ม ขึ้น 15% กรดไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น ฮอร์โมนอะดรีนาลีนเพิ่มขึ้น ทำให้หัวใจเต้นเร็วและความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อผู้ป่วย ที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว

แต่ก็มีการวิจัยจากฟินแลนด์ และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่พบว่า คนที่ดื่มกาแฟมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานประเภทที่ 2 น้อยกว่าคนที่ไม่ดื่มกาแฟ

*กาแฟกับการตั้งครรภ์และการเป็นหมัน
ก่อน หน้านี้ มีความเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะเป็นผลเสียต่อการตั้งครรภ์ แต่จากหลักฐาน ยังไม่พบผลเสียดังกล่าว นักวิจัยแนะนำว่า การดื่มกาแฟปริมาณน้อย ๆ ขณะตั้งครรภ์ไม่เกิดผลเสีย แต่หากงดได้ก็น่าจะงด ส่วนการเป็นหมันนั้น พบว่าหากดื่มกาแฟมากกว่าวันละ 1 แก้วจะมีโอกาสเกิดการเป็นหมันมากขึ้น

*กาแฟกับการขาดน้ำ
จาก การศึกษาพบว่า การดื่มกาแฟไม่เกิน 550 มิลลิกรัม หรือประมาณ 5 ถ้วยครึ่ง ไม่ออกฤทธิ์ขับปัสสาวะ การดื่มกาแฟทำให้ปัสสาวะมากขึ้น เทียบเท่ากับการดื่มน้ำในปริมาณเท่า ๆ กัน อย่างไรก็ตาม กาเฟอีนจะมีฤทธิ์เป็นยาขับปัสสาวะ หากดื่มเกินครั้งละ 575 มิลลิกรัม หรือประมาณ 6 ถ้วย ดังนั้นขณะออกกำลังกาย หรือหลังออกกำลังกายไม่ควรดื่มกาแฟในปริมาณมาก เพราะจะทำให้ร่างกายขาดน้ำได้

*กาแฟกับน้ำหนักตัว
คา เฟอีน 100 มิลลิกรัมเพิ่มการเผาผลาญพลังงานได้ ประมาณวันละ 75 - 100 กิโลแคลอรี แต่ไม่มีการศึกษาใดที่พบว่า กาแฟช่วยให้ลดน้ำหนักได้ในระยะยาว

ยิ่ง ไปกว่านั้น การศึกษาจากชาวอเมริกัน 58,000 คน ติดตามไป 12 ปี พบว่า กลุ่มตัวอย่างทั้งผู้หญิง และผู้ชายที่ดื่มกาแฟมากขึ้น กลับมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น สาเหตุอาจมาจากน้ำตาล นม และครีมเทียมที่ใส่ลงไปในกาแฟ

*กาแฟกับสมรรถภาพของร่างกาย
คา เฟอีนเพิ่มความสามารถในการออกแรง ออกกำลัง หรือเล่นกีฬา โดยเพิ่มความอดทนหรือความสามารถในการออกแรงได้นานขึ้น กลไกที่คาเฟอีนทำให้สมรรถภาพของร่างกายดีขึ้น น่าจะมาจาก การออกฤทธิ์ทำให้อาการปวดลดลง เช่น ปวดกล้ามเนื้อ ปวดเอ็น กลไกอีกอย่างหนึ่งของคาเฟอีน คือ การทำให้ร่างกายเปลี่ยนระบบเผาผลาญ โดยลดการเผาผลาญแป้งและน้ำตาล และเพิ่มการเผาผลาญไขมัน ทำให้เราออกแรง ออกกำลังได้มากขึ้น

*กาแฟกับอารมณ์
การ ศึกษาพบว่า กาแฟปริมาณน้อย ๆ ไม่เกิน 200 มิลลิกรัม เทียบเท่ากาแฟสด 480 มิลลิลิตร หรือเกือบครึ่งลิตร ทำให้สดชื่น มีพลัง และรู้สึกอยากเข้าสังคมมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากดื่มกาแฟมากกว่านี้ อาจทำให้เครียดง่าย และทำให้ปวดท้องหรือไม่สบายท้องได้

การศึกษาในคน ที่อดนอนพบว่า กาแฟจะกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ไม่ง่วง ช่วยให้ร่างกายตื่นตัวมากขึ้น ตอบสนองต่อสิ่งเร้าเร็วขึ้น ความจำดีขึ้น สมาธิดีขึ้น และยังทำให้ความสามารถในการทำงานดีขึ้น แต่ไม่ช่วยเพิ่มความสามารถในคนที่นอนมากพออยู่แล้ว

กาแฟยังช่วย บรรเทาอาการปวดศีรษะ ลดอาการปวดเมื่อย เนื่องจากไข้หวัด ลดอาการซึมเศร้า และคลายความวิตกกังวล และช่วยให้ผู้สูงอายุกระฉับกระเฉงกระชุ่มกระชวยกว่าคนในวัยเดียวกัน ที่ไม่ได้ดื่มกาแฟ

กาแฟกับโรคอื่น ๆ
การ ศึกษาพบว่า กาแฟชนิดที่มีกาเฟอีนลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์คินสันได้ ประมาณ 30% แต่กาแฟชนิดสกัดกาเฟอีนออก จะไม่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคนี้

การดื่มกาแฟเป็นประจำ ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี และนิ่วในทางเดินปัสสาวะ

นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าการดื่มกาแฟวันละ 3 แก้ว จะช่วยบรรเทาอาการหอบหืด

อย่าง ไรก็ตาม นักวิจัยเตือนว่า การศึกษาเหล่านี้ยังเป็นการศึกษาแรกเริ่ม จำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนหรือคัดค้านต่อไป คอกาแฟอาจจะดื่มกาแฟได้อย่างคล่องคอมากขึ้น แต่ก็อย่าโหมดื่มกาแฟ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อโรค ควรปรึกษาแพทย์ให้แน่ใจก่อนดื่ม

กิน-ดื่ม (น้ำ) ผลไม้ ตอนท้องว่างดีหรือไม่ดี

กิน-ดื่ม (น้ำ) ผลไม้ ตอนท้องว่างดีหรือไม่ดี ??? 

 

 

เกาะที่กระแสเฮลตี้กำลังครองเมืองเช่นนี้ ต้องบอกว่า ผัก-ผลไม้ก็ขึ้นแท่นติดอันดับของอาหารและเครื่องดื่ม ที่อยู่ในใจของคนที่รักสุขภาพเช่นกัน

ผู้ประกอบการหลายราย จึงพยายามสร้างสรรค์ทำให้การดื่ม-กินผักผลไม้เหล่านี้ง่ายขึ้น ด้วยการทำเป็นสำเร็จรูป หรือกึ่งสำเร็จรูป ไปจนถึงการสรรหากรรมวิธี หรือสูตรเด็ดเคล็ดลับต่าง ๆ มาป้อนให้กับผู้บริโภค

ปัจจุบันมีน้ำผลไม้สำเร็จรูปออกมา ในรูปแบบที่มีคำเรียกต่าง ๆ ที่ผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ควรรู้

  • ′น้ำผลไม้สด′ หมายถึง น้ำที่คั้นมาสด ๆ ไม่ได้ปรุงแต่งใด ๆ ทั้งสิ้น
  • ′น้ำผลไม้ที่ผ่านกระบวนการ′ หมาย ถึง ได้นำผลไม้ที่ผ่านกรรมวิธีถนอมอาหารเพื่อยืดอายุโดยใส่สารกันบูด หรือสารปรุงแต่งอื่น ๆ ที่จะเห็นได้อยู่ทั่วไปในรูปของศัพท์ต่าง ๆ
  • ′ น้ำผลไม้ชนิด 100%′ คือ น้ำผลไม้ ที่มีรสชาติใกล้เคียงกับของสดมากที่สุด เพราะไม่มีการปรุงแต่งรสชาติ
  • ′น้ำผลไม้ผสม′ ประเภทนี้จะมีการผสมน้ำผลไม้อื่น ๆ ลงไปด้วย และมักเติมน้ำตาล สารปรุงแต่งรสต่าง ๆ และกลิ่น รวมถึงสารกันบูด โดยจะมีส่วนประกอบหลักอยู่ที่ 40%- 60%
  • ′น้ำผลไม้ยูเอชที′ จะเหมือนน้ำผลไม้ผสม โดยจะมีสัดส่วนอยู่ที่ 20% - 100% และมีการบรรจุแบบสุญญากาศเพื่อยืดอายุ
แม้ จะมีของสำเร็จรูปให้เลือกสรร อย่างไรก็ตาม ผลวิจัยของทุกสถาบัน จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การกิน-ดื่มผลไม้แท้ ๆ ต่างหากที่จะมีประโยชน์สูงสุด แต่การ จะรับประโยชน์ให้ได้สูงสุดนั้น ก็ต้องกินให้ถูกวิธี นั่นคือ ให้กินตอนที่ ′ท้องว่าง′ เรียกว่า พฤติกรรมในการกินผลไม้ตบท้ายหลังมื้ออาหารอย่างที่ทำ ๆ กันอยู่นั้นผิดทาง

นั่นเป็นเพราะว่า ในเรื่องของการย่อยนั้น ผลไม้จะถูกย่อยได้เร็วกว่าอาหารอื่น ๆ แต่ร่างกายไม่สามารถดูดซึมเข้าไปได้ เพราะถูกอาหารที่ยังไม่ย่อยขวางเอาไว้ แล้วเมื่อผลไม้ไปรวมตัวกับอาหารอื่น ๆ จะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร ทำให้แน่นท้อง

นอกจากนั้นแล้ว การกินผลไม้ตอนท้องว่าง จะไปช่วยล้างพิษที่สะสมอยู่ และสำหรับผู้กำลังลดน้ำหนัก ผลไม้เหล่านี้ ยังจะเป็นพลังงานให้กับร่างกายด้วย

ส่วนคนที่ชอบดื่มน้ำผลไม้นั้น ควรเลือกดื่มน้ำผลไม้สด เลี่ยงการดื่มน้ำผลไม้กระป๋อง หรือที่ผ่านความร้อนมาแล้ว เพราะจะไม่หลงเหลือวิตามินอยู่เลย และการดื่มที่จะได้ประโยชน์สูงสุดนั้น ควรดื่มอย่างช้า ๆ ทีละคำ เพื่อให้น้ำผลไม้ไปรวมกับน้ำลายเสียก่อน

นอนไม่หลับ ทำไงดี?

นอนไม่หลับ ทำไงดี? 

 

การนอนหลับเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด เมื่อถึงเวลาเข้าหลับนอน ยามหัวถึงหมอนเมื่อไรแล้ว หลับทันทีเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา น่าอิจฉาคนที่นอนหลับได้อย่างง่ายดาย เมื่อเข้านอนบางคนการนอนให้หลับเป็นสิ่งที่แสนน่าเบื่อ ทรมานทุกทีเมื่อล้มตัวลงนอน แม้จะนอนบนที่นอนนุ่ม ๆ สบาย ๆ แต่ก็ยังพลิกตัวแล้วพลิกตัวอีก ก็ไม่หลับสักที บางคนอาจจะใช้หลาย ๆ วิธีแบบโบราณอย่างเช่น นับหนึ่งถึงร้อย หรือนับแกะจนแกะแทบจะหมดฟาร์มก็ยังนอนไม่หลับ สุดท้ายบางคนต้องพึ่งยานอนหลับจากร้านค้า ยานอนหลับอาจจะทำให้หลับได้จริง แต่นั่น ไม่ใช่เป็นวิธีที่ดีที่สุด มันส่งผลบั่นทอนสุขภาพอีกด้วย มีวิธีที่จะทำให้นอนหลับง่าย ๆ ดังนี้
  • เข้านอนเป็นเวลา การเข้านอนและตื่นนอนเป็นเวลาเดียวกันทุกวันเป็นประจำ จะเป็นการจัดระบบแบบแผนการนอนหลับที่ดีให้แก่ร่างกาย ช่วยให้ร่างกายได้หลับพักผ่อนเต็มที่ในเวลาที่ต้องการ
  • เข้านอนเมื่อ รู้สึกง่วง เมื่อรู้สึกง่วงนอนควรหยุดทำทุกอย่าง แล้วเข้านอนพักผ่อน แต่ถ้าเมื่อเข้านอนแล้วยังไม่หลับ ควรหากิจกรรมเบา ๆ ทำ เช่น อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์เมื่อรู้สึกง่วงแล้วค่อยเข้านอน จะช่วยให้หลับสบายได้ง่ายขึ้น
  • เลือกเสียงเพลงขับกล่อม การสร้างบรรยากาศที่ดี เลือกด้วยการเสียงเพลงที่ฟังแล้วจรรโลงใจทำให้จิตสงบ ผ่อนคลายบรรเลงเบา ๆ ขณะเข้านอน เสียงเพลงนั้นจะขับกล่อมให้คุณเคลิ้มหลับได้ไม่ยาก และยังช่วยเร่งการนอนหลับให้เร็วขึ้น
  • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และคาเฟอี น เพราะสิ่งเหล่านี้ มันจะไปรบกวนระบบการนอนปรกติของคุณสามารถปลุกให้ตื่นกลางดึกได้ สิ่งที่ควรทำหลังรับประทานอาหารมื้อเที่ยง คือ งดมันทุกชนิด รวมทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเย็น
  • ปรับม่านรับแสง การจัดสิ่งแวดล้อมก่อนเข้านอนมีผลต่อการหลับอย่างหนึ่งได้เช่นกัน โดยทั่วไป แสงสว่างจะปลุกให้ตื่นโดยอัตโนมัติ ถ้าคุณเป็นคนทำงานกลางคืนต้องนอนกลางวัน ควรปรับม่านรับแสงให้แสงสว่างเล็ดลอดเจ้าห้องนอนน้อยที่สุด จะช่วยให้คุณนอนหลับได้สบายขึ้น
  • ดื่มเครื่องดื่มอุ่น ๆ ก่อนนอน ตามหลักกายภาพอธิบายว่า เครื่องดื่มอุ่น ๆ จะสามารถเข้าไปปรับอุณหภูมิในร่างกายให้สูงขึ้น ทำให้เกิดอาการง่วงนอนได้อย่างรวดเร็ว หากคุณนอนไม่หลับจริง ๆ นมอุ่น ๆ หรือเครื่องดื่มอุ่น ๆ ที่ไม่ใช่กาแฟ สักแก้ว อาจจะช่วยให้หลับสบายขึ้น
  • ตรวจสอบยาที่รับประทานก่อนนอน ยาหลายชนิด เป็นสาเหตุสำคัญของการนอนไม่หลับ จึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร ทุกครั้งเมื่อคุณได้รับยา ที่ต้องรับประทานก่อนนอน
  • อย่าซื้อยานอนหลับมารับประทานเอง แม้ว่ายานอนหลับจะช่วยให้คุณหลับได้จริง แต่มันส่งผลไม่ดีต่อสุขภาพในระยะยาว ยานอนหลับมีฤทธิ์เป็นสารเสพติดอย่างอ่อน และทำให้ง่วงเหงาหาวนอนในระหว่างวันด้วย ทางที่ดีแทนที่คุณจะใช้ยานอนหลับ คุณควรหากิจกรรมทำในช่วงเย็น เช่น ออกกำลังกายให้ร่างกายได้ใช้แรงบ้าง น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า

การนอนไม่หลับไม่ได้เกิดกับทุก คน แต่หลายคนที่ต้องเผชิญกับอาการนอนไม่หลับที่แสนจะทรมาน ย่อมไม่ปรารถนาที่จะเจอ เพราะเมื่อนอนไม่หลับ ตื่นขึ้นมาร่างกายอ่อนเพลีย รู้สึกเฉื่อยชา ไม่อยากจะทำอะไร อารมณ์ก็พลอยหงุดหงิดไปด้วย บั่นทอนสุขภาพกายและสุขภาพจิต คิดอะไรสมองก็ไม่ปลอดโปร่ง วิธีง่าย ๆ 8 วิธี ดังกล่าวมาแล้ว จะช่วยให้คุณนอนหลับพักผ่อนฝันหวาน การนอนหลับจะช่วยให้ร่างกายที่ทำงานล้ามาตลอดทั้งวันได้พักผ่อน พร้อมทั้งจิตใจและสมองที่คุณใช้ความคิดมาทั้งวันก็จะได้พักด้วย เรียกได้ว่านอนหลับฝันหวานสบาย ๆ ไม่ต้องคิดอะไร ตื่นขึ้นมาก็จะพบกับความสดชื่น สมองปลอดโปร่ง อารมณ์ดี ร่างกายพร้อมจะทำงาน ประสิทธิภาพในการทำงานก็ดีตามมา ทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกับคนอื่นก็เป็นไปอย่างมีความสุข


ที่มา
โรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์

อาหารพิชิตหวัด

อาหารพิชิตหวัด 

 

ช่วงนี้คนใกล้ตัว ไอ จาม เป็นหวัดกันระนาว จะหลีกหนีให้ไกล หรือใส่ผ้าปิดจมูกกันตลอดเวลาคงไม่สะดวก จึงขอป้องกันตัวเองง่าย ๆ ด้วยการเลือกกิน สร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายกันดีกว่า

บรรดาโรค และอาการ ที่มาเยือนร่างกายเราบ่อย ก็เห็นจะเป็นปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ เป็นหวัดนี่ล่ะ เวลาเป็นที ก็รู้สึกอ่อนเปลี้ย เรี่ยวแรงหดหาย สมองไม่ปรู๊ดปร๊าดอย่างเคย อาการเหล่านี้มีโอกาสเกิดได้ง่าย ถ้าร่างกายคุณอ่อนแอ ขณะที่ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย กินอาหารไม่ถึง และถ้าบวกเข้ากับอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย ๆ วันหนึ่งแทบจะ 3 ฤดู อย่างเช่นทุกวันนี้ ก็ยิ่งมีโอกาสเป็นหวัดกันได้ง่าย ๆ

ดังนั้น เราเลยนำเกร็ดความรู้เรื่องอาหาร ที่จะช่วยทั้งป้องกัน และบำบัดอาการหวัดมาบอก

1 ซุปไก่น้ำแกงชั้นยอด

อาหาร ง่าย ๆ ที่เรียกได้ว่าเป็น "เพนนิซิลินธรรมชาติ" และถือเป็นท็อปลิสต์ในบรรดาอาหารพิชิตหวัดทั้งหมด ในแง่ที่สามารถบำบัดอาการได้ดีที่สุด ซุปไก่ร้อน ๆ ช่วยให้ทางเดินหายใจสะดวกขึ้น ให้พลังงาน และถ้าเพิ่มผักเข้าไปด้วย โดยเฉพาะหอมใหญ่ กระเทียม ก็จะยิ่งเพิ่มสรรพคุณในการบำบัดอาการมากยิ่งขึ้นค่ะ

2 อาหารเผ็ดซี้ด


อาหาร จัดจ้านแบบนี้หล่ะ ช่วยให้จมูกโล่งหายใจสะดวกดีนัก เมนูแนะนำต้องนี่เลย ต้มยำ เพราะมีนานาสมุนไพร ที่นอกจากแก้หวัดแล้ว ยังช่วยขับลม และย่อยอาหาร หรือจะเป็นเปปเปอร์มินต์ซุป หรือจริง ๆ ก็ต้มจืดใบสาระแหน่ สูตรนี้ไม่ยาก เหมือนแกงจืดตำลึงทุกอย่างค่ะ แค่เปลี่ยนจากใบตำลึงเป็นสาระแหน่เท่านั้น เหมาะกับคนที่มีอาการคัดจมูก หายใจไม่สะดวกมาก ๆ

3 กระเทียมไร้เทียมทาน

ช่วย ขับเสมหะ และมีคุณสมบัติเป็นยาแก้อักเสบ และในกระเทียมมีสารตัวหนึ่ง ชื่อ alliin เชื่อกันว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยทำลายอนุมูลอิสระที่จะมาทำร้ายเซลล์ ช่วงนี้คุณอาจเพิ่มปริมาณกระเทียม ที่ใส่ในอาหารให้มากขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย แต่มีข้อควรระวัง คือ ไม่ควรกินกระเทียมขณะที่ท้องว่าง เพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะได้

4 น้ำ

เป็น ช่วงที่คุณต้องเติมน้ำให้กับร่างกายมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำเปล่าบริสุทธิ์ น้ำผลไม้สด ๆ 100% น้ำอัดลม หรือจะเป็นน้ำจากผัก ผลไม้สด ได้ทั้งนั้น แต่ที่ดีที่สุดก็ต้องน้ำเปล่า สำหรับบางคนการได้ดื่มอะไรร้อน ๆ จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น ก็อาจเลือกเป็น ชาสมุนไพร เช่น ชาคาร์โมมายล์ ชาเปปเปอร์มินต์ หรือจะจิบน้ำอุ่น ๆ โรยด้วยมะนาวฝานก็ช่วยได้ดีทีเดียวค่ะ

5 ขุนพลตระกูลส้ม

ช่วง เป็นหวัดร่างกายจะต้องการวิตามินซีมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณเป็นคนที่สูบบุหรี่ ซึ่งมีโอกาสเป็นหวัดง่ายกว่าคนไม่สูบ ร่างกายก็จะต้องการวิตามินป้องกันมากเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้น พยายามกินส้มหรือผลไม้ตระกูลส้มให้มาก ไม่ว่าจะกินผลสดเป็นของหวานปิดท้ายมื้ออาหาร หรือจะเป็นน้ำส้มคั้นในมื้อเช้า ก็แล้วแต่ความชอบความสะดวก แต่ผลไม้ยิ่งสดเท่าไหร่ยิ่งเป็นวิตามินซีคุณภาพกับร่างกายมากเท่านั้น

6 นานาวิตามินซี
ไม่ ใช่แค่ผลไม้ตระกูลส้มเท่านั้น ที่มีวิตามินซีสูง ผลไม้ชนิดอื่นก็สามารถร่วมด้วยช่วยกันเป็นกองกำลังช่วยร่างกายต่อสู้กับ อาการจากหวัดได้ เช่น สับปะรด สตรอว์เบอรี่ ฝรั่ง หรือแม้แต่มันฝรั่ง พริกไทยสด ก็มีวิตามินซีสูงเช่นกัน

7 ขิงแก่แต่สด

ขิง สด ๆ ช่วยรักษาอาการไอและไข้ได้ แต่คุณอาจเลือกกิน เป็นน้ำเต้าฮวยร้อน ๆ น้ำขิงชงสำเร็จรูป หรือจะลองทำชาขิงดื่มง่าย ๆ แค่รินน้ำร้อน 1 ถ้วยลงบนขิงสดทุบ 2 ช้อนโต๊ะ ทิ้งไว้ 5 - 10 นาที

การปฏิบัติตัวให้เหมาะกับกรุ๊ปเลือดของตัวเอง


การปฏิบัติตัวให้เหมาะกับกรุ๊ปเลือดของตัวเอง

คนเรามีกรุ๊ปเลือด ที่แตกตางกัน ดังนั้น กรุ๊ปเลือดของแต่ละคน ก็จะสามารถที่จะบ่งบอกถึงพฤติกรรม และการปฏิบัติตัวได้อีกทางหนึ่ง



กรุ๊ปเลือด A สิ่งที่ควรทำฝึกฝนการใช้ความคิดสร้างสรรค์ และรู้จักแสดงความรู้สึกออกมาบ้าง

สิ่งที่ควรทำ

  1. ฝึกฝนการใช้ความคิดสร้างสรรค์ และรู้จักแสดงความรู้สึกออกมาบ้าง
  2. วางแผนการ ที่จะทำในแต่ละวัน
  3. หาเวลาพักระหว่างวัน ทำงานอย่างน้อย 2 ช่วง ๆ ละ 20 นาที ใช้เวลานั่งคิดไตร่ตรองสิ่งต่าง ๆ
  4. รับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อ
  5. บริโภคโปรตีนเพิ่มมากขึ้นในมื้อเช้า และลดปริมาณลงในมื้อเย็น
  6. ไม่ควรกิน เมื่อรู้สึกหงุดหงิด
  7. เปลี่ยนมารับประทานอาหารมื้อเล็ก ๆ 6 มื้อ ต่อวัน แทน 3 มื้ออย่างเคย เพราะจำนวนครั้ง ที่ถี่มากขึ้นช่วยให้ระบบการเผาผลาญทำงานดีขึ้น
  8. หาเวลาสักครึ่งชั่วโมง ฝึกจิตใจให้สงบสัก 3 ครั้งต่อสัปดาห์
  9. หมั่นตรวจร่างกายเป็นประจำ เพื่อป้องกันโรคมะเร็งและหัวใจ
  10. เคี้ยวอาหารให้ละเอียด เพื่อช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น

กินอย่างไร

คน ที่มีกรุ๊ปเลือด A ควรงดนมสด รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนยและชีส เพราะจะทำให้รู้สึกแน่นท้อง เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หันมารับประทานผักใบเขียว และใบเหลืองอย่างฟักทอง แครอท ผักขม บร็อคโคลี่ และพืชตระกูลถั่ว โดยเฉพาะถั่วเหลือง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูง และช่วยป้องกันโรคมะเร็งด้วย

ไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์มากเกินไป เพราะผู้ที่มีหมู่เลือดนี้ จะไม่ค่อยมีเอนไซม์และกรด ในกระเพาะอาหาร ที่จำเป็นต่อการย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์

ดื่มชาเขียวเป็นประจำ จะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันได้ ควรจำกัดน้ำตาล คาเฟอีน และแอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะไปเพิ่มความเครียด และทำให้กระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานช้าลง

อาหารเช้าควร อุดมด้วยโปรตีน สำหรับคนกรุ๊ปเลือด A อาหารเช้าถือเป็นมื้อสำคัญที่สุด และไม่ควรอดอาหาร เพราะจะก่อให้เกิดความเครียดได้ ออกกำลังกาย

คน กรุ๊ปเลือด A จะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดสูงมาก เนื่องจากร่างกายผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมาในปริมาณสูง แต่ฮอร์โมนดังกล่าวสามารถลดลง ถ้าได้ทำกิจกรรมที่ร่างกายต้องจดจ่ออยู่กับ สิ่ง ๆ หนึ่ง อย่างโยคะ ไทชิ หรือฝึกสมาธิกำหนดลมหายใจ

จัดการกับอารมณ์
  • ระบายความรู้สึกออกมา ถ้าต้องการอย่าเก็บกดเอาไว้
  • ก่อนจะเริ่มกิจกรรมหรืองานอื่น ต้องจัดการสิ่งที่ยังคั่งค้างอยู่ให้เสร็จ
  • เด็ดเดี่ยว กล้าตัดสินใจ การผัดวันประกันพรุ่งจะทำให้เกิดความเครียดได้
  • ใน 1 เดือน หาเวลา 1 วัน อยู่เงียบ ๆ เพียงลำพัง
  • หากออกกำลังกาย อย่าหักโหม ต้องหยุดพักก่อนถึงขีดจำกัดของร่างกาย

กรุ๊ปเลือด B

สิ่งที่ควรทำ
  1. สำหรับคนที่มีกรุ๊ปเลือดนี้จิตนาการเป็นเครื่องมืออันทรงพลัง ที่จะพาไปสู่ความสำเร็จได้ในยามว่าง ควรฝึกใช้จินตนาการเพื่อช่วยให้ผ่อนคลาย
  2. สังสรรค์สมาคมกับเพื่อน ๆ คนรอบข้าง หรือร่วมกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น สิ่งนี้จะเป็นโอกาสช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีในกลุ่มให้กับคุณ
  3. จงทำตัวให้เป็นธรรมชาติ

กินอย่างไร

ผู้ ที่มีกรุ๊ปเลือด B ควรบริโภคเนื้อสัตว์ ที่ปลอดสารปรุงแต่งเจือปนและไม่ติดมัน หลาย ๆ ครั้งใน 1 สัปดาห์ เพราะคนหมู่เลือดนี้สามารถเผาผลาญโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ดี

ไม่ควร บริโภคอาหาร ประเภทคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป และหลีกเลี่ยงเนื้อไก่ แต่นมและผลิตภัณฑ์จากนม กลับเหมาะสำหรับคนกรุ๊ปเลือด B เป็นอย่างมาก ออกกำลังกาย ผู้มีกรุ๊ปเลือด B ควรออกกำลังกายประเภทท้าทายร่างกายและจิตใจ

กิจกรรมที่เหมาะต้องเป็นประเภทที่ใช้สมาธิควบคู่กับการออกแรงมาก เช่น เทนนิส ศิลปะการต่อสู้ ปั่นจักรยาน เดินทางไกล และกอล์ฟ

จัดการกับอารมณ์

คน กรุ๊ปเลือด B เมื่อร่างกายอยู่ในสภาวะสมดุล ก็จะสามารถขจัดความเครียด และความวิตกกังวลลงได้ แต่เมื่อใดที่ไม่อยู่ในสภาวะสมดุล ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะเพิ่มสูงขึ้น และทำให้มีโอกาสที่จะติดเชื้อไวรัส เกิดอาการเหนื่อยล้าเป็นเวลานาน จิตใจมัวหมอง และภูมิคุ้มกันบกพร่อง สิ่งที่ต้องทำ คือ ลดฮอร์โมนคอร์ติซอล ที่ร่างกายหลั่งออกมา เพื่อตอบสนองต่อสภาวะเครียด ด้วยการทำสมาธิและการใช้จินตนาการ หากิจกรรมที่กระตุ้นให้เกิดสมาธิ ซึ่งไทชิจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด นอกจากช่วยลดความเครียดแล้ว ยังลดความดันโลหิต และทำให้รู้สึกผ่อนคลายช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น และอาจฟังดนตรี แนวที่ช่วยลดความเครียด หรือเพลงที่ทำให้เกิดจินตนาการ


กรุ๊ปเลือด AB

สิ่งที่ควรทำ
  1. ฝึกฝนนิสัยเป็นมิตรของคุณ โดยเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ รอบตัว และหลีกเลี่ยงสถานการณ์ ที่มีการแข่งขันสูง
  2. เลิกหมกมุ่นกับปัญหา ที่ไม่สามารถควบคุมได้ หรือไม่ได้มีผลกระทบต่อคุณ
  3. ฝึกใช้จินตนาการเป็นประจำทุกวัน
  4. มีแผนการที่ชัดเจน เกี่ยวกับเป้าหมายที่ต้องการบรรลุ โดยกำหนดเป็นรายปี เดือน สัปดาห์ หรือต่อวัน
  5. ค่อย ๆ เปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิต อย่าพยายามจัดการกับทุกสิ่งในเวลาเดียวกัน

กินอย่างไร

ผู้ ที่มีกรุ๊ปเลือด AB ต้องจำกัดปริมาณเนื้อสัตว์สีแดง และไม่ควรรับประทานเนื้อไก่ เนื่องจากร่างกายมีกรดไฮโดรคลอริก ในกระเพาะอาหาร และน้ำย่อยในลำไส้มีปริมาณน้อย ทำให้ย่อยอาหารได้ยาก เปลี่ยนมาบริโภคผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ปลา ไข่ไก่ และผักแทน

อาหาร ที่ควรเลี่ยง สำหรับคนกรุ๊ปเลือด A และ B ก็ควรจะเลี่ยงในผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด AB ด้วยกัน เช่น ไม่ควรบริโภค คาเฟอีน และแอลกอฮอล์มากเกินไป เพราะคาเฟอีนจะไปกระตุ้นให้ร่างกาย หลั่งสารอะดรีนาลีน และนอร์อะดรีนาลีน ซึ่งคนกรุ๊ปเลือด AB มีมากอยู่แล้ว ไม่ควรอดอาหารเพราะจะทำให้เกิดความเครียด

ออกกำลังกาย

ผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด AB ควรทำกิจกรรมทั้งประเภท ที่ก่อให้เกิดความสงบนิ่ง และใช้แรงมาก เช่น โยคะและ การเต้นแอโรบิค

จัดการกับอารมณ์
  1. วางแผนล่วงหน้า ว่าจะทำอะไรเพื่อช่วยลดเหตุการณ์ ที่ไม่คาดฝัน และไม่ให้เกิดความเร่งรีบจนทำอะไรไม่ถูก
  2. หยุด พักในวันทำงาน ด้วยการทำกิจกรรม ที่มีการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะถ้างานของคุณ ต้องนั่งอยู่กับที่ เพราะจะช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น
  3. ปลีกเวลาไปตอบแทนสังคมบ้าง เพราะคนกรุ๊ปเลือดนี้มีพื้นฐาน เป็นคนใจบุญสุนทาน และเห็นอกเห็นใจเพื่อนร่วมโลก ซึ่งอาจใช้วิธีบริจาคเงิน หรือสิ่งของให้แก่ผู้ยากไร้

กรุ๊ปเลือด O

สิ่งที่ควรทำ
  1. มีแผนการที่ชัดเจนเกี่ยวกับเป้าหมาย ที่ต้องการบรรลุ โดยกำหนดเป็นรายปี เดือน สัปดาห์ หรือต่อวัน
  2. หลีกเลี่ยงการตัดสินใจ ในเรื่องใหญ่ ๆ และอย่าใช้เงิน เมื่อเกิดความรู้สึกเครียด
  3. หากรู้สึกเครียด หรือหงุดหงิด พยายามทำให้ร่างกาย เกิดความเคลื่อนไหว
  4. เมื่อเกิดความอยากเหล้า บุหรี่ น้ำตาล และยานอนหลับ สิ่งเหล่านี้จะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสาร ที่ทำให้เกิดความสุขในระยะแรกเท่านั้น ควรหากิจกรรมอย่างอื่นแทน

กินอย่างไร

อาหาร ประเภทโปรตีน เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด O ควรรับประทานเนื้อสัตว์ต่าง ๆให้มาก ยกเว้น หมู นม และผลิตภัณฑ์จากนม ให้บริโภคแต่น้อย เพราะร่างกายจะย่อยได้ยาก จำกัดปริมาณการบริโภค ถั่ว รับประทานผักผลไม้ให้มาก และเปลี่ยนมาดื่มชาเขียว แทนกาแฟ

ออกกำลังกาย

คน ที่มี กรุ๊ปเลือด O ที่ออกกำลังสม่ำเสมอ จะมีการตอบสนองต่ออารมณ์ดียิ่งขึ้น การเต้นแอโรบิค วิ่ง หรือปั่นจักรยาน ครั้งละ 30 - 45 นาที ประมาณ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยให้เกิดสภาวะสมดุลของอารมณ์

จัดการกับอารมณ์
  • กำหนดแผนการ ว่าจะทำอะไรเพื่อลดความซ้ำซากจำเจ เพราะเมื่อคน กรุ๊ปเลือด O รู้สึกเบื่อพวกเขามักทำอะไรเสี่ยง ๆ
  • ฝึกรับมือกับความโกรธ ด้วยวิธีการดังนี้ เมื่อรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมอารมณ์โกรธ ไปเดินเล่นสักพัก ดื่มน้ำ ออกกำลัง หรือเขียนระบายความรู้สึกออกมา รอจนกว่าจะหายโกรธแล้วค่อยกลับมาจัดการกับปัญหา อีกวิธีคือ เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา บ่อยครั้งความโกรธ มีสาเหตุมาจากการเสียความสามารถ ในการควบคุม
  • เมื่อคุณเลือกที่จะแก้ปัญหามากกว่าจะระเบิดอารมณ์โกรธออกมา ก็จะสามารถควบคุมระดับความเครียดในร่างกายให้คงที่ได้