3.12.12

ริดสีดวงทวารหนัก

ริดสีดวงทวารหนัก


ไม่กินผักผลไม้ ดื่มน้ำน้อย เครียดในชีวิตประจำวัน มีโอกาสเสี่ยงที่จะท้องผูก และถ่ายผิดปกติ หรือมีเลือดปนออกมา จนถึงขั้นเสี่ยงต่อริดสีดวง

ปัจจุบัน คนไทยเริ่มมีพฤติกรรมในการบริโภคอาหารที่เปลี่ยนไปเพิ่มมากขึ้น โดยหลาย ๆ คนไม่รับประทานผัก ผลไม้ หรือบางคนดื่มน้ำน้อยมากในแต่ละวัน ประกอบกับการเกิดความเครียดจากการทำงาน ภาวะเศรษฐกิจ ปัญหาครอบครัว และสังคม ส่งผลให้คนไทยมีโอกาสเสี่ยง ที่จะเกิดอาการท้องผูก และถ่ายผิดปกติ หรือมีเลือดปนออกมา จนถึงขั้นเป็นโรคโลหิตจางจนต้องให้เลือดทดแทน

ทั้งนี้ "อาการถ่ายเป็นเลือด" เป็นอาการหนึ่งจากสภาวะท้องผูก หรือการถ่ายอุจจาระ ที่มีลักษณะเป็นก้อนแข็ง ซึ่งมาจากพฤติกรรมในผู้ที่ไม่ค่อยรับประทานผัก และผลไม้ หรือดื่มน้ำน้อย ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน รวมถึงภาวะความเครียดในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ ตามผู้ป่วยควรจะพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ และตำแหน่งที่เลือดออกว่ามาจากส่วนใด ซึ่งอาจจะเป็นเนื้องอก มะเร็ง หรือริดสีดวงทวารหนัก คือ ถ้ามีเลือดออกจากลำไส้ใหญ่ส่วนล่าง หรือบริเวณทวารหนัก ผู้ที่มีอาการจะเห็นเป็นเลือดสีแดงสดไหล หรือหยด หรือผสมกับอุจจาระที่ออกมา อาการเหล่านี้ หากทิ้งไว้ในระยะยาว โดยไม่ทำการรักษา อาจนำไปสู่การเป็นโรคริดสีดวงทวารหนักในระยะที่ 3 และ 4 ได้

โรคริดสีดวงทวารหนักภายในระยะที่ 1 และ 2 ไม่ถือว่าเป็นอันตรายแก่ชีวิต แต่จะเป็นความลำบาก สำหรับผู้ป่วยเอง ในการใช้ชีวิตประจำวัน เพราะการที่ผู้ป่วยปล่อยให้โรคริดสีดวงทวารหนักเรื้อรัง จนลุกลามไปถึงระยะ ที่ 3 และ 4 เป็น เพราะผู้ป่วยโรคริดสีดวงทวารหนักบางราย ส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะไปพบ และปรึกษาแพทย์ มักจะเก็บความทุกข์ทรมานจากโรคนี้ไว้ตามลำพัง เนื่องจากเกิดความอาย และกลัวกับวิธีการผ่าตัด

แต่ปัจจุบัน วิทยาการทางการแพทย์ เกี่ยวกับการรักษาโรคริดสีดวงทวารหนัก มีความก้าวหน้ามากขึ้น โดยผู้ป่วยโรคริดสีดวงทวารหนักในระยะที่ 3 และ 4 สามารถเลือกที่จะเข้ารับการผ่าตัดรักษาโรค ด้วยเครื่องมือตัดเย็บอัตโนมัติ (Stapled hemorrhoidectomy) หรือที่เรียกว่า PPH (Procedure for prolapsed and hemorrhoid) ในกรณีที่ ผู้ป่วยมีก้อนเนื้อยื่นออกมาในปริมาณมาก

การ รักษาด้วยเครื่องมือดังกล่าว จะช่วยให้ผู้ป่วยเจ็บน้อยลง และใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นน้อย ไม่มีผลข้างเคียงหลังการผ่าตัด รวมถึงผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้ไวกว่าการผ่าตัดแบบเดิม

การ ใช้เครื่องมือตัดเย็บอัตโนมัติ หรือ PPH กับผู้ป่วยโรคริดสีดวงทวารหนักในระยะที่ 3 และ 4 เป็น วิธีแก้ไขกลไกที่ทำให้เกิดโรคริดสีดวงทวารหนักโดยตรง ซึ่งอุปกรณ์ที่สำคัญในการผ่าตัดรักษาประกอบด้วย 3 ส่วน คือ เครื่องมือสอดและถ่างทวารหนัก เครื่องมือช่วยเย็บ และเครื่องมือตัดเย็บหัวริดสีดวง โดยการตัด และเย็บนี้ จะกระทำตามแนวเส้นรอบวงโดยตลอด จึงสามารถตัดหัวริดสีดวงออกได้ทุกหัว และไม่ทำให้รูทวารหนักแคบลง

อีกทั้งแนวการเย็บ อยู่สูงกว่า เส้นเด็นเต็ท (dentate line) ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่มีเส้นประสาทรับความรู้สึกเจ็บปวดมาเลี้ยง จึงทำให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดน้อยลง

โดยทฤษฏีแล้ว โรคริดสีดวงทวารหนักเกิดจากการเลื่อนตัวของเบาะรอง (cushion) ที่อยู่ภายในทวารหนักออกมาภายนอก วิธีการผ่าตัดนี้จะดันเบาะรองกลับไปสู่ตำแหน่งเดิม และตัดเฉพาะส่วนเกินที่ยื่นออกมาเท่านั้น ไม่ตัดเบาะรองออกทั้งหมด ในความเป็นจริงแล้ว เบาะรองมีประโยชน์ ในการทำให้ทวารหนักของคนเราปิดสนิท ไม่มีน้ำอุจจาระเล็ดออกมาได้ในระหว่างที่ไม่ได้ถ่ายอุจจาระ

เพื่อ ป้องกันการเป็นโรคริดสีดวงทวารหนัก หากผู้ป่วยพบว่า มีอาการถ่ายเป็นเลือด ถ่ายลำบาก อย่าปล่อยทิ้งไว้ให้เรื้อรัง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเรื่องการรับประทานอาหาร เน้นผัก และผลไม้ให้มากขึ้น ดื่มน้ำมาก ๆ หลีกเลี่ยงอุปนิสัยเบ่งอุจจาระเวลาขับถ่าย ไม่ใช้ยาสวนอุจจาระพร่ำเพรื่อ

หากหลีกเลี่ยง พฤติกรรม ที่เป็นความเสี่ยงเหล่านี้ ผู้ป่วยจะมีโอกาสห่างไกลจากโรคริดสีดวงทวารหนัก และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข โดยที่ไม่ต้องพบแพทย์

ที่มา
นพ.ทรงศักดิ์ กรสุทธิโสภณ
ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญศัลยกรรมทั่วไป โรงพยาบาลเจ้าพระยา

สูตรแก้เมาค้าง

สูตรแก้เมาค้าง


กระแสทีวีรายการหนึ่งทำให้ผู้คนหันมาตื่นตัวกันเรื่อง เมา ๆ มากขึ้น แต่ไม่ได้ตื่นตัวในเรื่องเลิก แต่เป็นเมาอย่างไรไม่ให้จับได้มากกว่า เมื่อดูอาหารชนิดที่ว่ากันว่า กินแล้วทำให้ตำรวจตรวจแอลกอฮอล์ไม่พบนั้น ดูไปก็เหมือนกับการเอาพลาสติกใส ไปเคลือบปากลิ้นไว้ ไม่ให้แอลกอฮอล์ที่มันตกค้างอยู่ในกาย ระเหยออกมาข้างนอกมากกว่า โดยรวมความก็คือ ยังเมาแประอยู่นั่นเอง ก็ไม่รู้ว่าเป็นนวัตกรรมที่น่ากลัวขึ้นหรือเปล่า

แต่ถ้าไม่อยากเมา แต่จำเป็นต้องไปงานสังคม หรือเผลอใจไปเมาโดยไม่ตั้งใจแล้ว ต้องมานั่งทนทุกข์ทรมาน กับ "อาการแฮงค์โอเวอร์" หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า “เมาค้าง” ก็มีวิธีที่จะช่วยดับได้ไม่ยากนัก แถมเป็นมรรควิธีที่เสริมสุขภาพดีแบบยั่งยืนด้วย เพราะบางทีแค่การจิบเครื่องดื่มแก้เมาค้าง อาจไม่ได้ช่วยไล่อาการได้เสมอไปครับ

ใช้ชีวิตอย่างไรไม่ให้เมาค้าง

สิ่ง ที่เป็นอมตธรรม สำหรับเรื่องเมา ก็คือ ถ้าไม่อยากเมาค้างก็จงอย่าดื่มเหล้า ฟังดูง่ายแต่ไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป เพราะในชีวิตที่ต้องว่ายวนอยู่ในสังคม เราก็คงต้องไปงานชุมนุมศิษย์เก่า งานแต่ง งานเลี้ยงรับปริญญา และงานสมาคมอะไรต่อมิอะไรมากมายสุด แล้วแต่จะจินตนาการขึ้นมาได้

การ เลี่ยงดื่มในงานเหล่านี้ ถ้าใครทำได้ ก็ดุจจะมีคุณอันวิเศษในตัวทีเดียว ดังนั้นจึงอยากให้เคล็ดสำหรับเตรียมตัวไว้ สำหรับท่านที่ไม่อยากดื่ม แต่คิดว่าอาจเลี่ยงไม่ได้ ดังนี้คือ
  1. นอนพักให้พอ และอย่าออกกำลังหนักก่อนเข้างาน จะทำให้ไม่กระหายแอลกอฮอล์มากนัก
  2. กินโปรตีนสักนิดรองท้องไว้ เช่น แซนวิชทูน่า หรือแม้แต่ปลาเส้นสักกำมือหนึ่ง จะช่วยไม่ให้แอลกอฮอล์ดูดซึมเร็วนัก
  3. ระหว่างดื่มให้กินกับไปด้วย จะทำให้ไม่เปลืองเหล้า แต่อาจเปลืองกับแทน
  4. ดื่มน้ำให้เยอะ ๆ แล้วปัสสาวะบ่อย ๆ ตรงไปตรงมา เพราะว่าแอลกอฮอล์จะได้ถูกขับออกมาโดยเร็ว

สี่ ข้อนี้จะช่วยให้ท่านป้องกันตัวเอง และตับไว้ไม่ให้ต้องทำงานโอทีโดยไม่จำเป็น เพราะงานเลี้ยงถือเป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่งของร่างกาย คงจะไม่ค่อยดีนัก ถ้าเราได้พักแล้วยังปล่อยให้ตับต้องทำงานหนักอยู่อย่างโดดเดี่ยว

เมนูลับดับเมาค้าง

นับ แต่เริ่มมีเมรัยมา อาการเมาค้าง ถือเป็นสิ่งที่คู่กัน แม้คนที่ถือว่าคอเหล็กคอแป๊บที่สุด ก็ยังต้องเคยมีประสบการณ์เมาค้างให้รำคาญใจ โดยเฉพาะในวันจันทร์ที่เริ่มทำงานนั้น เป็นเรื่องไม่สนุกเลย ที่จะต้องเดินเพลียเข้าที่ทำงาน จึงอยากนำเมนูแก้เมาค้างง่าย ๆ และเติมสุขภาพให้ตัวท่านได้มาฝากไว้ ดังนี้ครับ

ไข่ตุ๋นและซุปไก่
ใน ไข่ตุ๋นกับซุปไก่นั้น จะมีกรดอะมิโน ชื่อ “ซิสเทอีน" (Cysteine) อยู่ช่วยลดระคายคอ และพบว่าช่วยบรรเทาอาการเมาค้างได้ด้วย ขอให้กินร้อน ๆ ด้วยได้ก็จะยิ่งดี
น้ำส้ม มะนาว กระเจี๊ยบ เกรปฟรุต
ส่วน น้ำผลไม้รสเปรี้ยวจับใจนั้น ใช้ได้ดีมากทีเดียว เพราะวิตามินซี มีผลในการช่วยลดเมาค้างได้ดีมาก ถ้าหาน้ำผลไม้ไม่ได้จริง ๆ อาจไปหลังครัวหยิบมะขามเปียกมาสักสิบฝัก ต้มน้ำเติมน้ำตาลสักนิดก็ดีไม่น้อย ดังนั้น ข้างโถยาดองที่ท่านวางจานมะขามเปียกกับมะยมไว้ให้จิ้มเกลือเม็ด ให้น้ำลายพุ่งออกจากกระพุ้งแก้มเล่นนั้น มันช่วยตัดเหล้าได้จริงทีเดียว
ชารางจืด
รางจืด นั้นเป็นว่านหน้าตาคล้ายใบพลูที่เลี้อยเกาะระแนงไม้ เอาใบรางจืดมาตากแดดไว้แล้วชงดื่มสักหน่อย รับรองว่าเมาค้างจะหายเป็นปลิดทิ้ง
กล้วยหอมน้ำผึ้งเชค
อย่าง กล้วยหอมน้ำผึ้งปั่นนั้นช่วยได้มาก ตรงที่กล้วยหอมมีธาตุร่าเริงอยู่ในเนื้อมัน กินไปมาก ๆ จะช่วยให้สมองสดชื่นมีพลัง และคนที่ความดันสูงก็จะลดลงได้ด้วย ฤทธิ์ธาตุโพแทสเซียมที่มีอยู่ด้วย พอผนวกเข้าไปกับน้ำผึ้ง ซึ่งมีน้ำตาลฟรุกโตสแล้ว ก็ยิ่งช่วยให้กะปรี้กะเปร่ามากขึ้น

แต่ มีข้อแม้ว่าตอนทำเช้คต้องใส่น้ำให้เยอะสักหน่อยครับ อย่าให้หวานจัดเกินไป ประเดี๋ยวหายเมา แต่พาลง่วงนอนหลับต่อเจ้านายไม่ปลื้มอีก

สูตร ที่ดีสุดจริง ๆ คือ “อดใจ” เสียไม่ให้ความอยากเหล้าเข้ามาครองได้ ไม่ว่าจะเข้าหรือออกพรรษาก็ตามที เพราะเหล้านั้นเป็นของ ที่ผลิตมาไว้ให้มันกินเราโดยแท้ทีเดียวครับ แม้ว่าเราอาจถูกมันล้างสมองไปบ้างแล้ว แต่อยากขอให้ “ล้างสมอง” ใหม่อีกทีท่องไว้ว่าไม่มีใครในโลกบังคับจับกรอกปาก ให้เรากินได้ถ้าไม่ใช่ “ความอ่อน” ของตัวเราเอง

ที่มา
นพ.กฤษดา ศิรามพุช พบ. (จุฬาฯ) ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ

เคล็ดลับก่อนฟื้นฟูสุขภาพ ด้วยการล้างพิษ

เคล็ดลับก่อนฟื้นฟูสุขภาพ ด้วยการล้างพิษ


อาหารที่เรารับประทานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้น มีหลายชนิดที่เป็นตัวการทำให้สารพิษก่อตัว และเป็นผลร้ายต่อลำไส้ใหญ่ เช่น อาหารจำพวกแป้ง ฟาสต์ฟู้ด

อาหารทำจากนม เช่น เนย นม ชีส ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า การเน่าบูดของอาหารเหล่านี้อาจก่อให้เกิดปริมาณสารพิษจำนวนมากมายมหาศาล สะสมในลำไส้ใหญ่ และเมื่อสารพิษสะสมไม่มีที่ไปมากจนถึงขั้นวิกฤต ในที่สุดก็จะกระจายเข้าระบบโลหิต ระบบน้ำเหลือง และแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย เปรียบเสมือนถังขยะ ที่เต็มจนล้นออกมา สร้างความสกปรกเน่าบูดเหม็นคลุ้งไปทั่วบ้าน

อาการง่าย ๆ ที่อาจเป็นสัญญาณบอกว่าสารพิษล้นจนร่างกายเริ่มรับไม่ไหว ได้แก่
  • เหนื่อยง่าย
  • ปวดหัว
  • เวียนศีรษะ
  • ไม่มีอารมณ์ทางเพศ
  • ความจำสั้น
  • น้ำหนักเกิน
  • เงียบซึม ไม่กระปรี้กระเปร่า.

ซึ่ง อาการต่าง ๆ เหล่านี้อาจบรรเทาได้ง่ายนิดเดียว เพียงแค่คุณหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพลำไส้ใหญ่ และระบบขับถ่ายให้ทำงานตามปกติ หนึ่งวิธีที่คุณอาจทำได้ง่าย และได้ผล คือ การล้างลำไส้ใหญ่ด้วยน้ำสะอาด หรือที่เรียกว่า Colon Hydrotherapy (โคโลนิค) ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีให้บริการมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตามโรงพยาบาล หรือคลินิกเฉพาะทาง ที่ได้มาตรฐานสากลและผ่านการรับรอง การทำโคโลนิค เป็นการใช้น้ำสะอาดในเกรดสูง แล้วปล่อยอย่างนุ่มนวลเข้าไปชะล้างสารพิษ และสิ่งสกปรกที่เกาะสะสมในลำไส้ใหญ่ ช่วยฟื้นฟูระบบขับถ่าย และสุขภาพโดยรวม จากการที่สารพิษถูกกำจัดก่อนที่จะถูกดูดซึมเข้าไปทำร้ายระบบต่าง ๆ ในร่างกาย

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคุณจะล้างพิษด้วยวิธีไหน เรามีเคล็ดลับง่าย ๆ 5 ข้อ มาแนะนำเพื่อช่วยให้การล้างพิษมีประสิทธิภาพมากขึ้น

1.ก่อนการล้างพิษ ควรศึกษาให้ดีเสียก่อนว่า คุณมีความจำเป็นแค่ไหนในการล้างสารพิษ และ ร่างกายคุณพร้อมสำหรับการล้างพิษหรือเปล่า โรคประจำตัว เช่น หัวใจ ความดัน หรืออายุ อาจเป็นอุปสรรคในการล้างพิษได้ แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ

2.เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะล้างพิษ ระดับหรือประเภทในการล้างพิษ ก็เป็นสิ่งที่ควรพิจารณา เช่น ถ้าคุณยังอายุน้อย และไม่มีอาการระบุจากสารพิษสะสมข้างต้น คุณอาจเริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการรับประทานเพื่อการล้างพิษแทน แต่หากคุณมีปัญหาระบบขับถ่าย และต้องการฟื้นฟูการเคลื่อนตัวของลำไส้ใหญ่ การทำโคโลนิค หรือการใช้น้ำสะอาดสวนล้างลำไส้ใหญ่ก็อาจเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับคุณ

3.เตรียมพร้อมก่อนการล้างสัก 3 - 5 วัน ด้วยการดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอ รับประทานผัก ผลไม้ ให้ได้สักครึ่งหนึ่งของมื้ออาหาร และพยายามงดอาหารกลุ่ม ที่ทำจากนม เนื้อสัตว์ และแป้งขัดสี จะช่วยทำให้การล้างพิษเป็นไปได้อย่างง่ายดายขึ้น

4.ขอให้ใช้ความพยายาม มุ่งมั่น และความอดทน เพราะคุณคงไม่คิดว่าของเสียที่สะสมมาทั้งชีวิต หรืออาการป่วยเรื้อรังที่คุณเป็น จะสามารถรักษาให้หายได้ด้วย การล้างพิษเพียงแค่ครั้งเดียว คุณอาจต้องล้างพิษมากกว่าหนึ่งครั้ง และอาจไปจนกว่าที่จะรู้สึกว่าอาการของคุณดีขึ้น

5.เตรียมตัวเปลี่ยนพฤติกรรมที่ผ่านมาได้เลย หลังจากที่คุณรู้สึกดีขึ้น พยายามเลิกพฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบเก่า ๆ ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานแต่เนื้อสัตว์ ไม่ออกกำลังกาย ไม่เข้าห้องน้ำเมื่อปวดถ่าย นอนดึก พักผ่อนน้อย หากคุณอยากจะให้สุขภาพที่ดีขึ้นอยู่กับคุณไปนาน ๆ

ที่มา
MedMD.com