แค่เป็นหวัด หรือ ไซนัสอักเสบ ....… ?
ในบรรดาโรคทางเดินหายใจ นอกจากโรคหวัดแล้ว "ไซนัสอักเสบ"
ก็เป็นปัญหา ที่พบบ่อยเช่นกัน และมีอาการหลายอย่างเหมือนโรคหวัด เช่น
คัดจมูก มีน้ำมูก ไอ จาม ปวดบริเวณใบหน้า
ทำให้ไม่แน่ใจว่าเป็นโรคไซนัสอักเสบหรือไม่? ซึ่งหากวินิจฉัยผิดแต่แรกเริ่ม
ก็อาจทำให้พลาดการรักษาที่ถูกต้อง
จนอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายตามมาได้
โรคไซนัสอักเสบเป็นการอักเสบของ "โพรงอากาศด้านข้างจมูก" หรือเรียกว่า "โพรงไซนัส"
ซึ่งปกติจะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 ตำแหน่ง เป็นคู่ ๆ ได้แก่
โพรงอากาศบริเวณหน้าผาก โพรงอากาศบริเวณหัวตา โพรงอากาศบริเวณแก้ม
และโพรงอากาศบริเวณฐานกะโหลก ซึ่งภาวะไซนัสอักเสบ
สามารถแบ่งตามระยะของโรคได้ 2 ชนิด คือ
- ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน คือ ไซนัสอักเสบที่มีอาการน้อยกว่า 12 สัปดาห์ และอาการต่าง ๆ จะหายสนิทได้
- ไซนัสอักเสบเรื้อรัง คือ ไซนัสอักเสบที่เป็นนานกว่า 12 สัปดาห์ และในช่วงที่เป็นนั้น อาการต่าง ๆ ไม่มีช่วงที่หายสนิท
สำหรับ
ผู้ที่มีโอกาส มีปัญหาเกี่ยวกับไซนัสนั้น
ไม่ว่าใครก็สามารถเป็นไซนัสอักเสบได้ แม้แต่เด็กแรกเกิด
แต่บุคคลที่มีโอกาสเป็นไซนัสอักเสบได้ง่ายกว่าคนทั่วไป ได้แก่
กลุ่มผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ทางจมูก มีความผิดปกติของช่องจมูก
การติดเชื้อจากการรักษา ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ การสูบบุหรี่
และผู้ที่อยู่ในเขตมลภาวะเป็นพิษ ทั้งนี้
ปัจจัยเสริมให้เกิดไซนัสอักเสบทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ พบว่า
มักเกิดหลังการติดเชื้อไวรัสของทางเดินหายใจส่วนบน ประมาณร้อยละ 0.5 ถึง 2
จะเกิดการอักเสบของโพรงอากาศข้างจมูกจากเชื้อแบคทีเรียชนิดเฉียบพลันตามมา
ดังนั้น ในช่วงต้นของอาการประมาณ 3 ถึง 4 วันแรก
จึงแยกภาวะนี้ออกจากไข้หวัดได้ยากเนื่องจากมีอาการคล้ายคลึงกัน
รู้ได้อย่างไรว่า “ไข้หวัด” หรือ “ไซนัสอักเสบ” ?
ธรรมชาติ
ของไข้หวัดนั้น ผู้ป่วยมักมีอาการใดอาการหนึ่ง หรือหลายอาการดังต่อไปนี้
คือ จาม น้ำมูกไหล คัดแน่นจมูก ความสามารถในการรับกลิ่นลดลง
ปวดหน่วงบริเวณใบหน้า เสมหะไหลลงคอ เจ็บคอ ไอ หูอื้อ มีไข้
ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ โดยที่อาการไข้ ปวดเมื่อย และเจ็บคอมักจะดีขึ้น
หรือหายไปภายในไม่เกิน 7 - 10 วัน ส่วนอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล แลไอ
อาจเป็นนานถึงสัปดาห์ที่ 2 และ 3 แต่ก็จะลดความรุนแรงลงเรื่อย ๆ
แต่หากอาการต่าง ๆ ของไข้หวัดไม่ดีขึ้นเลยภายใน 10 วัน
หรือดีขึ้นระยะหนึ่ง แล้วกลับเป็นซ้ำ
ให้พึงระวังไว้ก่อนว่าอาจเกิดภาวะไซนัสอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียชนิดเฉียบ
พลันได้ (Acute bacterial rhinosinusitis)
สำหรับ
การวินิจฉัยโรคไซนัสอักเสบ จากเชื้อแบคทีเรียชนิดเฉียบพลัน
ผู้ป่วยต้องมีอาการอย่างน้อยสองอาการ หรือมากกว่าโดยที่หนึ่งในนั้น
ต้องมีอาการคัดแน่นจมูก หรือ น้ำมูกไหล ทางรูจมูก หรือไหลลงคอ
ซึ่งในบางรายอาจพบอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดตื้อบริเวณด้านข้างจมูก
ใบหน้า และ/หรือ มีการรับกลิ่นผิดปกติไป
การตรวจ
บริเวณโพรงจมูก และไซนัสเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
โดยอาการแสดงจำเพาะของการเกิดไซนัสอักเสบ คือ
พบมูกหนองที่บริเวณช่องข้างจมูกชั้นกลาง
ซึ่งเป็นทางระบายมูกจากโพรงไซนัสเข้ามาสู่ช่องจมูก
โดยต้องอาศัยเครื่องมือตรวจพิเศษ ได้แก่ กล้อง Endoscope หรือ Otoscope
ที่มีเลนส์ขยาย จึงจะสามารถมองเห็นบริเวณนี้ได้อย่างชัดเจน
และยังสามารถเก็บมูกหนอง เพื่อทำการเพาะเชื้อตรวจในผู้ป่วยบางราย
อย่างไรก็ตาม ในบางรายแพทย์อาจพิจารณาตรวจทางรังสีวิทยาร่วมด้วย
โดยการเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) เป็นการตรวจที่ดี
สำหรับโรคไซนัสอักเสบ เนื่องจากสามารถบอกรายละเอียดของโรค
และโครงสร้างทางกายวิภาคในโพรงจมูก และไซนัสได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ยังใช้วินิจฉัยแยกจากโรคอื่นที่มีลักษณะอาการคล้ายกับไซนัสอักเสบ
ได้ด้วย
การรักษาไซนัสอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียชนิดเฉียบพลัน
รักษาด้วยยา
- ยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรีย ผู้ป่วยควรได้รับอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 10-14 วัน
- ยาพ่นจมูกชนิดสเตียรอยด์ ยาชนิดนี้มีผลลดการอักเสบบวมของเยื่อบุจมูกและโพรงไซนัส ช่วยให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้นเร็วหากใช้ควบคู่ไปกับยาปฏิชีวนะ
- ยาลดการบวม มีทั้งชนิดรับประทานและชนิดพ่นหรือหยอดจมูก ช่วยบรรเทาอาการคัดแน่นจมูกได้ดี แต่มีข้อจำกัดว่ายาชนิดพ่นหรือหยอดจมูกนี้ไม่ควรใช้ติดต่อกันนานเกิน 3-5 วันเนื่องจากมีผลข้างเคียงทำให้เยื่อบุจมูกกลับบวมมากขึ้น
- ยาต้านฮิสตามีนหรือยาแก้แพ้ มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ทั้งที่มีฤทธิ์ทำให้เกิดอาการง่วงและไม่ง่วง
- การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ เป็นการรักษาอีกวิธีหนึ่งที่ทำได้ง่าย และช่วยให้อาการทางไซนัสดีขึ้น ลดความหนืดของน้ำมูกและช่วยเพิ่มการทำงานของเซลล์ชนิดมีขนอ่อนไว้พัดโบกใน โพรงจมูกและไซนัส
- การสูดดมไอน้ำร้อน
รักษาด้วยการผ่าตัด
เป็น
การผ่าตัดผ่านกล้อง endoscope ผ่านทางรูจมูก เพื่อระบายมูกหนอง
และช่วยปรับอากาศของโพรงไซนัส ซึ่งเป็นการผ่าตัดที่เป็นมาตรฐาน
และมีความปลอดภัยสูง ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วและเสียเลือดไม่มาก
โดยแพทย์จะพิจารณาให้การผ่าตัดในกลุ่มผู้ป่วยไซนัสอักเสบ
ที่รักษาด้วยยาไม่ได้ผล หรือมีการอักเสบเป็นซ้ำหลาย ๆ ครั้ง
รวมถึงรายที่มีภาวะแทรกซ้อนจากการอักเสบเฉียบพลันทั้งต่อทางตา, สมอง
และกระดูกที่อยู่บริเวณใกล้เคียง
แม้ในปัจจุบันจะ
มีการใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาโรคไซนัสอักเสบอย่างแพร่หลาย
แต่หากได้รับการดูแลรักษา ที่ไม่เหมาะสม หรือไม่ต่อเนื่อง
ก็มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างรุนแรง เช่น ลูกตาอักเสบ ฝีหนองในเบ้าตา
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และเป็นฝีหนองในเนื้อสมองได้
ที่มา
พญ.วรรนธนี อภิวัฒนเสวี
โสต ศอ นาสิกแพทย์ สาขาโรคไซนัสอักเสบและภูมิแพ้
โรงพยาบาลเวชธานี
0 comments:
Post a Comment