18.4.12

โรคสมองฝ่อ

ข้อมูลจากสำนักสารนิเทศ กรมการแพทย์ อธิบายว่า โรคสมองฝ่อ เป็นโรคความพิการทางสมอง ทางการแพทย์เรียกว่า "โรคอะดรีโนลิวโคดีสโทรฟี่" หรือ "โรคเอแอลดี" (Adrenoleukodystrophy : ALD) เป็นโรคที่เกิดจากพันธุกรรม โดยทำให้เกิดความผิดปกติของยีนบนโครโมโซม X ซึ่งเป็นโครโมโซมเพศหญิง ทำให้เยื่อหุ้มเซลล์ประสาทถูกทำลาย เนื่องจากมีการสะสมของกรดไขมันชนิดหนึ่งในอวัยวะต่าง ๆ และร่างกายไม่สามารถผลิตเอนไซม์ ที่จำเป็นต่อการแตกพันธะของกรดไขมันที่สะสมในสมองออกมาได้ ทำให้เนื้อเยื่อที่ห่อหุ้มเส้นประสาทในสมองถูกทำลายมากขึ้นเรื่อย ๆ และส่งผลให้เกิดความพิการทางร่างกายต่าง ๆ ทั้งการมองเห็น การได้ยิน และการเคลื่อนไหวของร่างกาย

อาการของผู้ป่วย

ส่วน ใหญ่มักจะเริ่มมีอาการในช่วงอายุ 4 - 7 ปี ผู้ป่วยจะมีพัฒนาการทางสมองช้าลง และถดถอยลงไปจนเหมือนเด็กทารก โดยสมองส่วนกลางจะหดตัว มีรอยแยกห่างออกจากกัน และทำงานไม่ปกติ อาการเริ่มต้นจะมีอาการตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด จนตาบอด พูดอ้อแอ้ไม่เป็นภาษาเช่นเดียวกับเด็กแรกเกิด และมีอาการกล้ามเนื้อกระตุก อาการเกร็งของระบบกล้ามเนื้อจนขยับร่างกายไม่ได้ ร่างกายจะซูบผอม ตัวเหลือง จนถึงแก่ความตายในที่สุด ระยะเวลาที่ป่วยจะใช้เวลาประมาณ 2 ปี นับตั้งแต่มีอาการ

กลุ่มเสี่ยง

โรคสมองฝ่อ เป็นโรคที่ถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม มีแม่เป็นพาหะ เนื่องจากถ่ายทอดผ่านโครโมโซม X ของเพศหญิง

การป้องกัน

วิธี การป้องกันที่ดีที่สุด คือ หลีกเลี่ยงการแต่งงานในเครือญาติ โดยเฉพาะครอบครัวที่มีประวัติว่าเป็นโรคนี้ และหากแม่คนใดที่เคยมีบุตรป่วยด้วยโรคนี้ วิธีที่ดีที่สุด คือ ควรคุมกำเนิด เพราะโอกาสที่ลูกคนต่อไปจะเป็นโรคนี้อีกมีสูงมาก

การรักษา

โรค นี้ยังไม่มียารักษา มีวิธีการรักษาเพียงวิธีเดียว คือ การรักษาด้วยวิธีสเต็มเซลล์ ซึ่งต้องใช้ความละเอียดอ่อนในการรักษาอย่างมากโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ ด้าน อีกทั้งต้องรอสเต็มเซลล์ที่มีผู้มาบริจาคว่าจะสามารถเข้ากันได้กับผู้ป่วย หรือไม่ นอกจากนี้ยังไม่เคยมีการวิจัยเพื่อรักษาโรคนี้ด้วยวิธีการสเต็มเซลล์มาก่อน การรักษาด้วยวิธีนี้จึงต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายสูงมาก

ที่มา:
รักเธอไม่มีวันหมด...จากใจคุณพ่อธนกฤต
http://community.momypedia.com/webboard_topic.aspx?tid=146588


10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็ว


 
วันนี้มีเกร็ดความรู้ 10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็วมาบอกกัน...


1.ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือด ต่ำ แต่นี่จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม

2.กินอาหารมากเกินไป การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็น สาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น

3. การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคสมองฝ่อและโรคอัลไซเมอร์

4. ทานของหวานมากเกินไป จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็น ประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง

5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็น มลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง

6. การอดนอน การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน การอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์ สมองตายได้

7. นอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว

9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความ คิดจะทำให้สมองฝ่อ

10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง

รู้อย่างนี้แล้วก็หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่กล่าวมาจะดีกว่า เพื่อจะได้มีสุขภาพสมองที่ดี...
 
 
นิสัย 10 อย่าง ที่ทำให้สมองพัง
หน้าที่ ของสมองยังมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ อารมณ์ ความจำ การเรียนรู้การเคลื่อนไหวและความสามารถอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ แต่คนเรามักไม่รู้ตัวเองว่าพฤติกรรมบางอย่างที่กระทำลงไป นอกจากจะเป็นการทำร้ายร่างกายไม่พอ ยังทำร้ายสมองด้วย
1. ไม่ทานอาหารเช้า
  หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่นี่จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม

2.  กินอาหารมากเกินไป  การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคความจำสั้น

3.  การสูบบุหรี่
  เป็นสาเหตุให้เกิดโรคสมองฝ่อ และโรคอัลไซเมอร์

4.  ทานของหวานมากเกินไป  การกินของหวานมาก จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง
5.  มลภาวะ  สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไป จะทำให้ออกซิเจนในสมองลดปริมาณลง ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง
6.  การอดนอน  การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน การอดนอนเป็นเวลานาน จะทำให้เซลล์สมองตาย
7.  การนอนคลุมโปง  การนอนคลุมโปงจะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้น และลดออกซิเจนให้น้อยลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
8.  ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย  การทำงานหรือเรียนในขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง เหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
9.  ขาดการใช้ความคิด  การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ
10. เป็นคนไม่ค่อยพูด  ทักษะการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง
รู้หรือยังคะ ว่าสมองมีความสำคัญแค่ไหน  ดังนั้นเราควรจะหันมาบำรุงสมองกันดีกว่าการทำร้ายสมองนะคะ
ที่มา : http://www.vcharkarn.com/


9 เทคนิค ฝึกสมองไบรท์
โดย วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจาก ม.ฮาร์วาร์ด
ผู้หญิง สมัยนี้ อยากสวย ฉลาด และสุขภาพดี ทุกคนจึงพากันดูแลรูปร่าง ด้วยการออกกำลังกาย เคร่งครัดเรื่องอา หารการกิน แต่ไม่เคยมีใครสนใจว่าจะดูแลสมองอย่างไรให้มีสุขภาพดี ทั้งที่สมองเป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต เราจึงควรเอกเซอร์ไซส์สมองให้ไบรท์ด้วยเทคนิคง่าย ๆ ต่อไปนี้



 
    1. จิบน้ำบ่อย ๆ
      สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ
    2. กินไขมันดี
      คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อน ไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
    3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที
      หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน
    4. ใส่ความตั้งใจ
      การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
    5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ
      ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไป เรื่อยๆ
    6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
      สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
    7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
      ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง
    8. เขียนบันทึก Graceful Journal
      ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
    9. ฝึกหายใจลึก ๆ
      สมองใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 % การมีสมองที่ดีก็ เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม

0 comments:

Post a Comment